ช่วงสัปดาห์สองสัปดาห์ที่ผ่านมา เวลาพูดถึงญี่ปุ่น หรือใครจะไปญี่ปุ่น หัวข้อที่คนพูดกันเล่นๆ เสมอคือ ระวังมิสไซล์นะเธอว์ เพราะว่าช่วงนี้คิมน้อยช่างขยันทดลองของเล่นอันตรายเสียเหลือเกิน ถ้าต้องเจอมิสไซล์ข้ามหัวตัวเองไปสองรอบแบบนั้นแล้ว เป็นใครก็ต้องมีหวั่นๆ กับบ้างล่ะครับ
ถ้าเป็นคนญี่ปุ่นกลัวก็คงไม่แปลกใจอะไรหรอก แต่นึกอีกที ในญี่ปุ่นก็มีชาวเกาหลีเหนืออยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ก็เลยพลันสงสัยขึ้นมาว่าพวกเขาคิดอย่างไรกันบ้าง ลองหาข้อมูลดูก็ไม่เจอ เจอแต่ความเห็นคนเกาหลีที่อยู่ในญี่ปุ่นที่ได้แต่บอกว่า พอเถอะ เลิกทำอะไรแบบนี้ที ไม่ไหวแล้ว ก็คงเครียดกันไม่ต่างกับชาวญี่ปุ่น เลยได้แต่คิดว่า น่าจะไปสัมภาษณ์คนเกาหลีเหนือในญี่ปุ่นบ้าง ก็ดันไปพบข้อมูลน่าสนใจอื่นแทน นั่นคือ ความตึงเครียดเรื่องมิสไซล์ได้ส่งผลกระทบกับโรงเรียนสำหรับชาวเกาหลีในญี่ปุ่นในแบบที่เราคาดไม่ถึงมาก่อน
โรงเรียนชาวเกาหลีในญี่ปุ่น หรือ 朝鮮学校 คือสถาบันการศึกษาที่จัดการศึกษาให้กับชาวเกาหลีเหนือที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าเป็นชาวเกาหลีเหนือที่หลบหนีออกจากประเทศตัวเองมา แต่โดยมากแล้วมักจะเป็นชาวเกาหลีเหนือที่ครอบครัวย้ายมาอยู่ในญี่ปุ่นตั้งแต่ประมาณช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งอาจจะย้ายมาด้วยความสมัครใจ หรือย้ายมาเพราะถูกเกณฑ์มาเป็นแรงงานในช่วงที่ญี่ปุ่นไปปกครองเกาหลี ซึ่งหลังสงครามก็แบ่งเป็นสองกลุ่มคือ Chongryon ที่เอนข้างเกาหลีเหนือและต้องการรักษาอัตลักษณ์ความเป็นเกาหลีไว้ ซึ่งพยายามสร้างกลุ่มอำนาจทางการเมือง และ Mindan ที่โปรเกาหลีใต้ ซึ่งสองกลุ่มนี้ก็แยกกันชัดเจนกลุ่มแรกเรียกตัวเองว่าชาว Chousen (หรือ Joseon แล้วแต่การสะกด) ตามชื่อเดิมก่อนแยกประเทศ และกลุ่มหลังก็ขึ้นสถานะตัวเองเป็นชาวเกาหลีใต้
พอมีชาวเกาหลีเหนืออยู่ในประเทศญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก การรักษาอัตลักษณ์ของตนเองก็เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะกับเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดในแผ่นดินญี่ปุ่น
จึงได้มีการก่อตั้ง Chousen Gakkou หรือ โรงเรียนเกาหลีเหนือ ขึ้น โดยการสนับสนุนหลักจากประเทศแม่ และ Chongryon หรือที่มีชื่อเต็มว่า General Association of Korean Residents in Japan ซึ่งทำหน้าที่ในการเชื้อเชิญชาวเกาหลีเหนือในญี่ปุ่นกลับประเทศ และทำหน้าที่เป็นเหมือนสถานทูตเกาหลีเหนือประจำกรุงโตเกียวไปโดยปริยาย มีการก่อตั้งโรงเรียนเพื่อชาวเกาหลีเหนือในญี่ปุ่นตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย โดยปัจจุบันมีโรงเรียนประเภทนี้อยู่ประมาณ 80 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น ในขณะที่โรงเรียนที่สนับสนุนโดยฝ่ายรัฐบาลเกาหลีใต้เพียงแค่ 4 แห่งเท่านั้น
ดูภายนอกแล้วโรงเรียนเกาหลีเหนือเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากโรงเรียนทั่วไป แต่เมื่อนักเรียนเข้าโรงเรียน นักเรียนหญิงและอาจารย์หญิงก็จะเปลี่ยนชุดเป็นชุดประจำชาติเกาหลีเหนือ ถึงนักเรียนส่วนใหญ่จะเกิดและโตในญี่ปุ่น ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาหลัก แต่เมื่อมาโรงเรียนพวกเขาก็ต้องเรียนรู้และใช้ภาษาเกาหลี รวมไปถึงตำราเรียนต่างๆ ก็เป็นภาษาเกาหลีหมด เนื้อหาวิชาส่วนใหญ่ก็เป็นการเอาตำราญี่ปุ่นมาแปลเป็นภาษาเกาหลีเกือบหมด ยกเว้น วิชาประวัติศาสตร์ โดยเป็นเนื้อหาที่ทางโรงเรียนเตรียมขึ้นมาเอง แม้จะบอกว่าไมได้เป็นเนื้อหาต่อต้านประเทศญี่ปุ่น แต่ก็แน่นอนว่าไม่ได้เข้าข้างประเทศญี่ปุ่นอย่างแน่นอน และ ส่วนเรื่องของการเคารพท่านผู้นำ ปัจจุบัน โรงเรียนเกาหลีเหนือหลายแห่งก็เลิกติดภาพของคิมอิลซ็อง และคิมจองอิลในโรงเรียนแล้ว เพราะไม่ต้องการแสดงออกทางการเมืองอย่างชัดเจน เนื่องจากผู้ปกครองก็มีแนวคิดทางการเมืองที่หลากหลาย
แม้จะเป็นโรงเรียนระดับประถมและมัธยม แต่โรงเรียนเกาหลีเหนือ ก็ไม่ได้รับการจัดเข้ากลุ่มของการศึกษาภาคบังคับ แต่ไปอยู่กลุ่มเดียวกับโรงเรียนวิชาชีพ (ซึ่งโรงเรียนสำหรับชาวต่างชาติหลายโรงก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน) ทำให้นักเรียนมักจะมีปัญหาหากต้องการไปเรียนต่อในระบบการศึกษาหลัก นักเรียนที่เรียนผ่านระบบการศึกษานี้ ก็มักจะต่อมหาวิทยาลัย Korea University ในโตเกียว โดยเป้าหมายขั้นสูงสุดคือเข้าทำงานใน Chongryon นั่นเอง หรือกรณีที่แปลกหน่อยก็อย่างเช่น จองแตเซ ชาวเกาหลีเหนือที่เกิดและโตในนาโกย่า แล้วเรียนจบจาก Korea University นี่เอง แต่ด้วยฝีเท้าเตะฟุตบอลได้เก่ง ก็กลายมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพและรับสัญชาติเกาหลีเหนือ เล่นบอลทีมชาติ และได้ไปบอลโลกแล้วยืนน้ำตาคลอตอนที่ได้ฟังเพลงชาติเกาหลีเหนือในสนามนั่นล่ะครับ
แม้จะฟังดูเหมือนไม่มีพิษมีภัยอะไรนัก แต่ปัญหาหนึ่งที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นหลายคน โดยเฉพาะฝ่ายขวาไม่พอใจ ก็คือการที่รัฐบาลญี่ปุ่นต้องจ่ายเงินสนับสนุนให้กับโรงเรียนเกาหลีเหนือเหล่านี้ตามแนวทางการปฏิบัติของรัฐบาลญี่ปุ่นที่จ่ายเงินสนับสนุนให้กับทุกโรงเรียน
แต่เดิมก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนัก เพราะแม้ว่าหลายคนจะไม่พอใจที่แนวทางการศึกษาโอนเอียงไปในทางต่อต้านประเทศของตัวเอง จนได้แต่โวยว่า เอาเงินพวกเราไปเพื่อสอนให้ต่อต้านพวกเรา แต่ก็ไม่มีการโจมตีอะไรที่หนักนัก แต่พอเกาหลีเหนือเริ่มก่อปัญหามากขึ้น ทั้งการลักพาตัวชาวญี่ปุ่นไปประเทศตัวเอง (มีชาวไทยโดนลักพาตัวไปด้วยนะครับ) และการทดสอบอาวุธที่ดูเหมือนจะชวนให้เสียวขึ้นทุกวัน ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นเองก็ต้องหาทางทำอะไรเพื่อเป็นการกดดันฝ่ายเกาหลีเหนือ (และเพื่อให้ชาวญี่ปุ่นเองรู้สึกว่ารัฐบาลก็พยายามอยู่นะ)
ผลก็คือ โรงเรียนเกาหลีเหนือในญี่ปุ่นหลายต่อหลายโรง โดนตัดงบอุดหนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น โดยให้เหตุผลว่าเพราะรับเงินอุดหนุนจากทาง Chongryon อยู่แล้ว ทำให้โรงเรียนเกาหลีเหนือทั้งหลายหลุดออกจากกลุ่มโรงเรียนที่นักเรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเรียนเหมือนโรงเรียนภาคบังคับทั่วไป และไม่ใช่แค่เพียงรัฐบาลกลางเท่านั้น แต่รัฐบาลท้องถิ่นก็ตัดงบสนับสนุนอีกด้วย ตัวอย่างเช่น รัฐบาลท้องถิ่นโอซาก้าตัดเงินสนับสนุนโรงเรียนเกาหลีเหนือในท้องถิ่นจำวน 185 ล้านเยนต่อปี ที่มาก็น่าจะมาจากการที่ Hashimoto Toru อดีตทนายเซเลบที่กลายมาเป็นผู้ว่าโอซาก้า ได้วิจารณ์โรงเรียนเกาหลีเหนืออย่างหนักในกรณีที่สถานที่ทัศนศึกษาของนักเรียนชั้น ม. 6 คือกรุงเปียงยางนั่นเอง
จากกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหลาย ทำให้กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมญี่ปุ่น เพราะมีทั้งชาวญี่ปุ่นที่เห็นด้วยกับการจัดการกับโรงเรียนเกาหลีเหนือ ในขณะเดียวกันก็มีคนไม่เห็นด้วยโดยให้เหตุผลว่าเด็กไม่ควรได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมือง และมีการฟ้องร้องในศาลทั่วประเทศญี่ปุ่น เป็นคดีที่ลากยาวมาถึงวันนี้ ซึ่งพอเกิดเรื่องการยิงมิสไซล์ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันก็มีข่าวการประท้วงของชาวเกาหลีในญี่ปุ่น เรียกร้องให้ทางการญี่ปุ่นจ่ายสวัสดิการให้โรงเรียนเช่นเคย
ยิ่งความตึงเครียดระหว่างเกาหลีเหนือและญี่ปุ่นสูงขึ้นเท่าไหร่ ผลกระทบก็กินวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้แต่สงสัยว่า เหล่านักเรียนในโรงเรียนเหล่านี้ที่ภูมิใจในความเป็นเกาหลีเหนือที่แม้จะเกิดและโตในญี่ปุ่น ในสังคมที่สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างเต็มที่และอยากจะทำอะไรก็ทำได้อย่างอิสระ แต่มีเป้าหมายอยากจะย้ายกลับไปอยู่ที่เกาหลี พวกเขาจะรู้สึกอย่างไรเมื่อประเทศที่ตัวเองอยู่อาศัย กำลังถูกภัยคุกคามจากมิสไซล์ที่ลอยมาจากประเทศที่พวกเขามองว่าเป็นประเทศของตัวเอง