1.
“อิสราเอลจะไม่ยอมให้ผู้ก่อการร้ายมือเปื้อนเลือดคนไหน มีชีวิตปกติสุขได้”
โอลิมปิก 1972 ที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมัน นี่คือเหตุการณ์สุดอัปยศของวงการกีฬาโลก โดยเฉพาะอิสราเอล เมื่อผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์ ในชื่อกลุ่มกันยายนทมิฬ (Black September) บุกเข้าไปในหมู่บ้านนักกีฬา แล้วจับนักกีฬาอิสราเอลทั้ง 11 คนไว้เป็นตัวประกัน พร้อมยื่นเงื่อนไขเรียกร้องปล่อยตัวนักโทษการเมืองที่ถูกอิสราเอลจับกุมไว้
เหตุการณ์นี้ถูกเปิดเผยว่า กลุ่มกันยายนทมิฬ ไม่ได้มีแผนจะสังหารนักกีฬาอิสราเอลตั้งแต่แรก แต่ตอนบุกเข้าจับ พวกเขาสังหารนักกีฬาไปแล้ว 2 ราย ทางโกลดา แมร์ (Golda Meir) นายกรัฐมนตรีหญิงของอิสราเอล ปฏิเสธจะเจรจาต่อรองใดๆ ทั้งสิ้นกับผู้ก่อการร้าย และภาระการเจรจาแก้ไขสถานการณ์ตกอยู่ในมือของเยอรมัน ที่ไร้ประสบการณ์รับมือเรื่องนี้
ในที่สุดสถานการณ์จบลงที่หน่วยแม่นปืนเยอรมันสังหารกลุ่มกันยายนทมิฬได้หมดที่สนามบิน แต่ก็แลกกับหนึ่งในคนร้ายสาดกระสุนใส่ตัวประกัน 9 คนเสียชีวิตทั้งหมด
สำหรับอิสราเอลและคนยิว แผ่นดินเยอรมัน ในปี ค.ศ.1972 ความทรงจำในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนยิว โดยนโยบายนาซีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังหลอกหลอนคนทั้งโลก นี่เป็นอีกครั้งที่คนยิวถูกฆ่าบนแผ่นดินเยอรมัน ที่สำคัญในเวลาต่อมามีข้อมูลว่ากลุ่มนีโอนาซีได้ช่วยจัดหาเอกสารหนังสือเดินทางปลอมและอำนวยความสะดวกกลุ่มกันยายนทมิฬในการพบปะเพื่อนสมาชิกก่อนลงมือสะเทือนขวัญนี้ด้วย
รัฐบาลอิสราเอลตัดสินใจใช้ความเฉียบขาดสยบการก่อการร้าย หน่วยข่าวกรองของพวกเขา ที่ชื่อว่ามอสสาด (MOSSAD) ตัดสินใจเปิดปฏิบัติการ ‘พระเจ้าพิโรธ (Wrath of God)’
เป้าหมายคือจัดการผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มกันยายนทมิฬนี้ให้สิ้นซาก การสังหารจะต้องรุนแรง เฉียบขาด มุ่งหมายเอาชีวิต กระสุนจะต้องสาดใส่เท่ากับ 11 ชีวิตนักกีฬาอิสราเอลที่ถูกพรากไป
มอสสาดรู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มกันยายนทมิฬนี้ คือ ชายเจ้าของฉายา ‘Red Prince’ อาลี ฮัสซัน ซาลาเมห์ (Alī Ḥasan Salamah)
และพวกเขาได้ข้อมูลล้ำค่าว่าซาลาเมห์ อยู่ที่นอร์เวย์ในขณะนี้
2.
ปฏิบัติการพระเจ้าพิโรธนี้ ถูกควบคุมและคิดค้นโดย ไมเคิล ฮาร์รารี่ (Michael Harari) เจ้าของฉายา เจมส์ บอนด์แห่งชาวยิว เขาคัดเลือกทีมงานล่าสังหารด้วยตัวเอง มีสายลับมอสสาดทั้งชายและหญิง จำนวน 15 คนเข้าร่วม โดยแบ่งทีมเป็น 5 ชุด ชุดแรกคือทีมสังหาร ชุดที่ 2 คือชุดคุ้มครองทีมสังหาร ซึ่งจะซุ่มอยู่ในเงามืดเพื่อรับประกันความปลอดภัย
ชุดที่ 3 อำนวยความสะดวกเรื่องการขนส่งเดินทาง ชุดที่ 4 มีสมาชิก 6-8 คน ทำหน้าที่สะกดรอยเป้าหมาย และวางแผนเส้นทางหลบหนีให้กับชุดสังหาร กับชุดคุ้มครองทีมฆ่า และชุดที่ 5 มีสมาชิก 2 คน ทำหน้าที่ในการดูแลการสื่อสารของทีม
กันยายน ค.ศ.1972 ผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์สังหารนักกีฬาอิสราเอลทั้ง 11 คน เดือนถัดมา ที่อิตาลี สายลับมอสสาดก็เริ่มปฏิบัติการพระเจ้าพิโรธ โดยการกระหน่ำยิงตัวแทนของกลุ่มองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ที่อิตาลี ระหว่างที่ชายคนนี้กำลังกลับบ้านจากการกินมื้อเย็น
ยุโรปกลายเป็นจุดเกิดเหตุของสายลับมอสสาด พวกเขาฆ่าผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มกันยายนทมิฬไปทั่ว และในเดือนกรกฏาคม ค.ศ.1973 สายลับมอสสาดเดินทางสู่นอร์เวย์ ที่เมืองลิลลิแฮมเมอร์ (Lillehammer) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง พวกเขาได้เบาะแสว่า ซาลาเมห์แอบมาหลบซ่อนตัวเป็นเด็กเสิร์ฟอยูที่เมืองนี้
ทีมตรวจสอบเดินทางไปเช็กข้อมูลข่าวกรองนี้ว่ามีความจริงแท้แค่ไหน พวกเขาเจอตัวเป้าหมาย เขาเป็นชายตะวันออกกลาง เอกสารทางการระบุว่าเป็นคนโมร็อกโก ชื่อ อาเม็ด บุชิกี (Ahmed Bouchikhi) ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในเมือง สายลับมอสสาด 15 คนเดินทางไปถึง โดยมีฮาร์รารี่ไปคุมสั่งงานด้วยตัวเอง
หากข้อมูลไม่ผิดพลาด นี่คือผลงานชิ้นโบว์แดง ปิดตำนานจอมบงการผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มกันยายนทมิฬ นี่คือการชำระแค้นให้กับนักกีฬาอิสราเอลที่เสียชีวิตไป
บุชิกีเข้าไปพบกับสายลับปาเลสไตน์ในรีสอร์ทโดยบังเอิญ ในฐานะเด็กเสิร์ฟเขาก็ทำหน้าที่ตัวเองปกติ แต่มันทำให้สายลับมอสสาดเชื่อว่า บุชิกีคือซาลาเมห์ และกำลังไปคุยกับสายลับปาเลสไตน์เพื่อวางแผนอะไรบางอย่าง ที่สำคัญบุชิกีดูมีท่าทางระวังตัว เหมือนที่ซาลาเมห์ทำเป็นประจำ นั่นจึงนำไปสู่ความเชื่อ ความมั่นใจ
ไม่ผิดตัวแน่นอน แผนการฆ่าได้รับการอนุมัติ การลงมือจะเกิดขึ้นในวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ.1973
3.
ก่อนจะไปติดตามการลงมือครั้งนี้ เราควรไปรู้จักกับอาลี ฮัดซัน ซาลาเมห์ก่อน ซาลาเมห์เกิดในครอบครัวร่ำรวยชาวปาเลสไตน์ พ่อของเขาเป็นขุนศึกที่เสียชีวิตจากการทำสงครามกับอิสราเอล
ชายหนุ่มใช้ชีวิตที่เยอรมัน เขามีเสน่ห์ หล่อเหลา เป็นนักรัก นักแข่งรถ ควงสาวไม่ซ้ำหน้า ร่ำรวย มีฉายาว่าเจ้าชายสีแดง ภาพลักษณ์นี้ปกปิดหน้าฉากที่ว่าซาลาเมห์ คือคนสนิทที่ยัสเซอร์ อาราฟัด ผู้นำองค์กรปลดปล่อยปาเลสไตน์เชื่อใจมากที่สุด และเจ้าชายสีแดงคนนี้เป็นคนก่อตั้งดูแลหน่วยรักษาความปลอดภัยให้กับอาราฟัดด้วย
เอาเข้าจริง มีคนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มกันยายนทมิฬเปิดเผยในเวลาต่อมาว่า จริงอยู่ที่ซาลาเมห์อยู่เบื้องหลังกลุ่มก่อการร้ายนี้ เขาให้ความช่วยเหลือหลายอย่าง แต่ไม่ได้วางแผนการบุกจับตัวประกันที่โอลิมปิกแน่นอน
แต่เพราะความร่ำรวย ชื่อเสียงของซาลาเมห์ที่โด่งดัง เขาจึงเป็นเป้าหมายการสังหารของมอสสาดเรียบร้อยแล้ว ชีวิตสุขสบายของซาลาเมห์ เป็นสิ่งที่อิสราเอลยอมรับไม่ได้
นี่คือผู้อยู่เบื้องหลังกันยายนทมิฬ
และเขาจะมีชีวิตสุขสบายไม่ได้เด็ดขาด
แต่การสังหาร ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้องค์กรปลอดปล่อยปาเลสไตน์จะมีภาพลักษณ์เหมือนนักรบ พร้อมสู้ตายกับอิสราเอล แต่ซาลาเมห์กับอาราฟัด มีแนวคิดต้องการให้ภาพลักษณ์องค์กรเป็นที่ยอมรับในฐานะนักสู้ทางการเมือง ภาพลักษณ์นี้จะต้องทำให้โลกเห็นว่า ปาเลสไตน์เป็นประเทศ ควรได้รับความสนใจ และอิสราเอลควรยอมให้ปาเลสไตน์ได้มีดินแดนของตัวเอง ดินแดนที่ถูกช่วงชิงไปโดยอิสราเอล
การจะสร้างภาพลักษณ์นี้ได้ ก็ต้องพึ่งพิงมหาอำนาจของโลกอย่างสหรัฐอเมริกา
ในช่วงที่เลบานอนเกิดสงครามกลางเมือง ซาลาเมห์ช่วยพานักการทูตอเมริกาออกจากเลบานอนได้ เขาสร้างสายสัมพันธ์กับหน่วยข่าวกรองอเมริกา ซีไอเอ ให้ข้อมูลล้ำค่ามากมาย ไม่เพียงแต่อเมริกาเท่านั้น ซาลาเมห์ยังให้ข้อมูลข่าวกรองแก่หลายประเทศ เพื่อปรับปรุงภาพลักษณ์ให้กับปาเลสไตน์
สหรัฐอเมริกายินดีมาก นี่คือข้อมูลล้ำค่า และเป็นหลักประกันว่าจะไม่มีผู้ก่อการร้ายตะวันออกกลางคนใด โจมตีคนของอเมริกา หรือสถานทูตอเมริกาในตะวันออกกลาง มันส่งผลให้องค์กรปลอดปล่อยปาเลสไตน์มีภาพลักษณ์ดีขึ้น สหรัฐอเมริกาเริ่มเรียกร้องอิสราเอลให้พื้นที่แก่ปาเลสไตน์เพิ่มเติม โดยต้องคำนึงว่านี่คือประเทศประเทศหนึ่งด้วย
เอาเข้าจริง มันถือเป็นความสำเร็จของกลุ่มกันยายนทมิฬเช่นกัน หลังการสังหารโหดในโอลิมปิกที่เยอรมัน โลกหันมาสนใจปาเลสไตน์มากยิ่งขึ้น ก่อนหน้าโอลิมปิก ที่เยอรมัน ปาเลสไตน์ไม่ได้แม้กระทั่งสิทธิ์เข้าร่วมส่งนักกีฬา แต่ตอนนี้โลกรู้จักปาเลสไตน์แล้ว
สำหรับอิสราเอล และมอสสาดแล้ว มันคือการสังหารคนบริสุทธิ์ของพวกเขา แค้นต้องชำระด้วยแค้น ดังนั้นการฆ่าซาลาเมห์ จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
4.
สายลับที่ระบุว่าอาเม็ด บุชิกี คือซาลาเมห์นั้น ไม่ใช่สายลับธรรมดา แต่เธอคือหญิงสาวที่ใช้ชีวิตเบื้องหน้าเป็นช่างภาพข่าวแคนาดา แต่เบื้องหลังเธอชื่อ ซิลเวีย ราฟาเอล (Sylvia Raphael) หญิงสาวคนนี้เกิดที่แอฟริกาใต้ พ่อของเธอเป็นคนยิวที่รอดชีวิตจากค่ายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ซิลเวียดื่มด่ำกับความเจ็บปวดของพ่อ และรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนยิว เธอย้ายตัวเองไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่อิสราเอล แฟนสาวของสายลับมอสสาดแนะนำว่า หญิงคนนี้มีทักษะบางอย่างในการเป็นสายลับที่ดีมาก นั่นทำให้เธอถูกคัดเลือกเข้าทำงานเป็นมอสสาด ได้อยู่หน่วยสายลับอันเลื่องชื่อ ได้รับการฝึกฝน และด้วยมีความสามารถในการถ่ายภาพ เธอจึงใช้ชีวิตเป็นช่างภาพข่าวแคนาดาได้อย่างชำนาญ ไม่ต้องเสแสร้ง
ซิลเวียอยู่ในปฏิบัติการพระเจ้าพิโรธ แต่ไม่ใช่ในฐานะนักฆ่า เธอมีคุณค่าและประโยชน์มากกว่านั้น นั่นก็คือการหาข้อมูลข่าวกรอง จนนำไปสู่การฆ่าคนที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มกันยายนทมิฬมาแล้ว 3 รายด้วยกัน และที่นอร์เวย์เธอยืนยันว่าบุชิกี คือซาลาเมห์
ด้วยฝีมือและความสามารถ ทำให้ทุกคนเชื่อใจและจัดการวางแผนฆ่า
บุชิกีออกจากโรงภาพยนตร์และกำลังเดินกลับบ้านพร้อมแฟนสาวชาวนอร์เวย์ที่ตั้งท้องอยู่ ทีมสังหารปรากฏตัวและสาดกระสุนใส่บุชิกี 13 นัด เขาเสียชีวิตทันที ส่วนแฟนสาวชาวนอร์เวย์ไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด
ทุกอย่างจบสิ้น นี่คือสิ่งที่มอสสาดคิด
แต่แท้จริงแล้ว มันคือจุดเริ่มต้นแห่งหายนะมากกว่า
เช้าวันต่อมา หนังสือพิมพ์เผยแพร่ชื่อบุชิกี ทำให้ทีมสังหารรู้ว่าพวกเขาฆ่าผิดตัว ซาลาเมห์ยังมีชีวิตอยู่ ตำรวจนอร์เวย์ใช้เวลาไม่นานจับกุม 6 สายลับอิสราเอล รวมทั้งซิลเวีย ราฟาเอลได้หมด พวกเขาเหล่านี้ล้วนใช้หนังสือเดินทางปลอม ส่วนไมเคิล ฮาร์รารี่หนีออกจากประเทศได้สำเร็จพร้อมมือสังหารที่ลงมือลั่นไก
เพื่อนบ้านของบุชิกี ต่างตกตะลึงกับความตายของชายคนนี้ “เขาเป็นคนนิสัยดีมาก เรายังงงอยู่ว่า เขาถูกฆ่าเพราะสาเหตุอะไร”
ปฏิบัติการพระเจ้าพิโรธถูกระงับทันที ฮาร์รารี่ยื่นหนังสือลาออก ดีที่โกลดา แมร์ระงับคำร้องขอไว้ก่อน คราวนี้เป็นเรื่องของรัฐบาลกับรัฐบาล อิสราเอลเข้าเจรจาเพื่อช่วยเหลือเหล่าสายลับ แต่ทางการนอร์เวย์ยอมรับไม่ได้ จะต้องมีการดำเนินคดีอาญาในเรื่องนี้ และต้องมีคนติดคุก
หนึ่งในสายลับมอสสาด ทนแรงกดดันจากการสอบปากคำไม่ไหว สารภาพและเล่าปฏิบัติกการพระเจ้าพิโรธให้กับตำรวจนอร์เวย์ฟัง นั่นทำให้ทั้งโลกได้รู้เรื่องโหดร้ายนี้ทันที ที่สุดแล้วศาลตัดสินจำคุกสายลับทั้ง 6 คน โทษคละกันไประหว่าง 1-5 ปี โดยซิลเวียติดคุกหนักสุด เหตุการณ์นี้ทำให้เธอสิ้นศรัทธาต่อประเทศที่ตนอุทิศรับใช้ทันที
เกือบปีกว่า หลังความขายขี้หน้าของมอสสาด ผู้ต้องหาทั้ง 6 คนได้รับการปล่อยตัว หลังเจรจาต่อรองระหว่างรัฐบาลลับ ๆ กันอย่างต่อเนื่อง หลายคนเดินทางกลับอิสราเอล เริ่มงานสายลับต่อ แต่สำหรับซิลเวียแล้ว เธอหมดศรัทธาและตัดสินใจหันหลังให้โลกสายลับ มาใช้ชีวิตคู่กับทนายความนอร์เวย์ที่มาว่าความแก้ต่างให้สายลับมอสสาดในคดีนี้แทน
ตัวฮาร์รารี่ ยังคงทำงานต่อที่มอสสาด เขามีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือตัวประกันที่ถูกกลุ่มหัวรุนแรงจี้เครื่องบินพาณิชย์ฝรั่งเศสที่มีคนอิสราเอลอยู่ไปลงที่ประเทศยูกันดา ฮาร์รารี่ได้ส่งสายลับลงพื้นที่รอบสนามบิน ก่อนจะส่งข้อมูลอันนำไปสู่การช่วยเหลือตัวประกันได้สำเร็จ ในชื่อปฏิบัติการเลื่องชื่อเอนเทบเบ กลายเป็นตำนานข่าวกรองของอิสราเอล กู้ชื่อเสียงความอับอายที่นอร์เวย์ได้สำเร็จ
ผลงานครั้งนี้ ทำให้รัฐบาลสั่งรื้อฟื้นปฏิบัติการพระเจ้าพิโรธขึ้นอีกครั้ง เป้าหมายยังคงเดิม อาลี ฮัดเซน ซาลาเมห์ต้องตาย
5.
แม้ซาลาเมห์จะสนิทสนมกับอเมริกา เขาเคยถูกพาตัวไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ ที่รัฐฟลอริดา ได้คบหากับนางงามเลบานอน และมีลูกด้วยกัน แต่แล้ววันที่ 22 มกราคม ค.ศ.1979 หลังเหตุการณ์โอลิมปิก มิวนิก 7 ปี ขณะที่รถยนต์ของซาลาเมห์กำลังเคลื่อนผ่านทางตะวันตกของกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน รถโฟล์ก สวาเก้นที่จอดริมทางได้ระเบิดขึ้น บอร์ดี้การ์ดซาลาเมห์ 4 คนเสียชีวิตคาที่ส่วนซาลาเมห์บาดเจ็บสาหัสก่อนเสียชีวิตที่โรงพยาบาล
นี่คือผลงานการติดตามสะกดรอยแทรกซึมของสายลับมอสสาดมาร่วมเดือน ปิดฉากผู้อยู่เบื้องหลังกันยายนทมิฬได้สำเร็จ โดยมีผู้บริสุทธิ์โดนลูกหลงการระเบิดครั้งนี้จำนวน 4 คน บาดเจ็บ 16 ราย ซึ่งหนึ่งในผู้เสียชีวิตนั้น เป็นเพียงเด็กหญิงที่เดินผ่านมาพอดี
งานศพของซาลาเมห์ มีผู้เข้าร่วมมากมายถึง 2 หมื่นคน ยัสเซอร์ อาราฟัด (Yasser Arafat) อุ้มลูกซาลาเมห์นั่งตัก พิธีการราวกับการฝังร่างวีรบุรุษสงคราม ยิ่งใหญ่ เศร้าสร้อย โกรธแค้น
อิสราเอลไม่เคยยอมรับการสังหารบุชิกีอย่างเป็นทางการ แต่แล้วในปี 1996 มีการแอบจ่ายเงินให้กับครอบครัวบุชิกี แฟนสาวของบุชิกีที่อยู่ในเหตุการณ์สังหารโหดได้พูดว่า
“คงไม่มีใครคิดจ่ายเงินชดเชย ถ้าพวกเขาไม่ผิดหรอก”
น้องชายของบุชิกีอุทิศตัวเองให้กับงานการกุศล ด้วยแรงบันดาลใจจากความตายของพี่ เดินสายเรียกร้องสันติภาพให้กับโลกใบนี้ และเดินทางไปพูดแม้แต่ในอิสราเอลด้วย
นอร์เวย์รื้อฟื้นคดีมาใหม่ ก่อนได้ข้อสรุปว่ามันคือปฏิบัติการของมอสสาดที่ผิดพลาดและน่าอับอาย และทำให้เห็นว่า องค์กรเลื่องชื่อนี้ก็ล้มเหลวเป็น หาได้ทรงประสิทธิภาพไร้ที่ติขนาดนั้น ทางการนอร์เวย์สรุปว่าไม่มีคนในประเทศร่วมมือกับปฏิบัติการอันน่าอัปยศนี้
ความตายของบุชิกี ชายผู้บริสุทธิ์ เด็กเสิร์ฟ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความตายของใครทั้งสิ้น ไม่เคยพบหน้าซาลาเมห์ แต่กลับต้องมาตายเพราะเหล่านักฆ่าเข้าใจผิด เหตุการณ์นี้ไม่เพียงคือความอับอายของมอสสาดเท่านั้น แต่คือการสังหารโหดเลือดเย็นที่สะเทือนขวัญไปทั้งโลก
นั่นทำให้นอร์เวย์ยืนกรานต้องดำเนินคดีกับสายลับมอสสาดที่ถูกจับกุม แม้จะมีการเจรจาต่อรองระหว่างรัฐบาลเบื้องหลังมากมาย แต่สุดท้ายกฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย นั่นทำให้สายลับทั้งหมดถูกส่งตัวเข้าห้องขัง เป็นการประจานความล้มเหลวของมอสสาดไปทั่วโลก แต่ก็แสดงให้เห็นประสิทธิภาพของกฎหมายที่อยู่เหนือหลักเกณฑ์ยกเว้นใด ๆ ทั้งสิ้นของนอร์เวย์
เจ้าหน้าที่ซึ่งทำคดีนี้ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในเวลาต่อมาว่า “นี่มันมากไปกว่าการฆาตกรรมธรรมดา ถือเป็นคดีที่ต้องพิจารณาอย่างมีนัยสำคัญ เพราะนี่คือการล่วงละเมิดอำนาจอธิปไตยของนอร์เวย์ด้วย”
ข้อมูลอ้างอิง