ในบรรดาอวัยวะต่างๆ ของมนุษย์เพศผู้ ดูเหมือนว่าจู๋จะกลายเป็นอวัยวะแรกๆ ที่ได้รับความสนจิตสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของมนุษย์เพศผู้คนอื่น ซึ่งไม่ใช่ความปรารถนาดีห่วงใยเชิงสุขอนามัย เฝ้าระวังมะเร็งต่อมลูกหมาก สังคัง หรือฝีมะม่วง หากแต่เป็นขนาดของอวัยวะเพศ ความใหญ่ยาวนำมาใช้นิยามความหมายให้คุณค่าชายเจ้าของจู๋คนนั้นว่า น่าปรารถนาชื่นชมหรือขบขัน
ตั้งแต่เรื่องเล่าขนาดใหญ่โตบรรลือโลกผิดมนุษย์มนาของรัสปูตินในเกร็ดประวัติศาสตร์รัสเซีย พรรณนาโวหารในนิยายประโลมโลกย์ เรื่องสั้นชวนเสียวในหนังสือปลุกใจเสือป่า ไปจนถึงสรรพคุณของผัวคุณแม่ลีน่าจัง โรงเรียนชายล้วนบ้างแห่งที่เต็มไปด้วยการจัดลำดับชั้น ไม่เพียงมีการแข่งขันวัด size กัน คำว่า ‘เจี๊ยวเล็ก’ ยังมีความหมายว่าแม่งกระจอก
ขนาดของอวัยวะเพศชายยังไปเกี่ยวข้องกับบุญทำกรรมแต่งในบางลัทธิความเชื่อ นักเขียนและเซเลบเฉพาะกลุ่มธรรมะอย่าง ‘ดังตฤณ’ นามปากกาของ ศรัณย์ ไมตรีเวช ก็ได้ให้สัมภาษณ์เชิงอบรมสั่งสอนธรรมะเมื่อ ปี 2554 ว่าผู้ชายเกิดมามีจู๋เล็กกลางใหญ่เพราะกรรมเก่า[1]จู๋เล็ก เกิดจากกรรมอันควรละอาย ของพวกชอบเอาตัวรอด ห่วงแต่ตัวเอง ลักกินขโมยกิน ไม่รับผิดชอบครอบครัวลูกเมีย ทอดทิ้งพ่อแม่ ยิ่งทำให้ความเป็นลูกผู้ชายหดหายเข้าไปใหญ่ น่าอดสู ส่วนชายที่มีจู๋ใหญ่เกินไป จนทำให้คู่ที่ร่วมเพศด้วยทรมานก็เกิดจากกรรมที่ชอบคุยโม้โอ้อวด ทำบุญทำดีเอาหน้าเป็นกรรมที่ตกแต่งความเป็นชายของตนให้บวมเป่งผิดปกติ ส่วนขนาดกลางๆ คือทำบุญมาดี
แหม่…รู้แล้ว เสียดาย… คนตายไม่ได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้ 555
ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ เจ้าของนามปากกา ‘พนมเทียน’ ได้เขียนสารคดีเกี่ยวกับกามาสูตรของฮินดูด้วยนามปากกา ‘รพินทร์’ ว่าคัมภีร์ได้แบ่งลักษณะผู้ชายหรือนายะกะไว้เป็น 4 วรรณะ ดังนี้
1. ศาส (นายกระต่าย) เป็นชายสรีระสง่างามผึ่งผาย ดวงตาใหญ่ จมูกโด่ง ผมละมุนดุจเส้นไหม อุปนิสัยซื่อสัตย์สุจริต โอบอ้อมอารี เมตตาการุณ ไม่เห็นแก่ตัว มีคุณธรรม มีชาติสกุลพราหมณ์
2. มิรกะ (นายแพะ) คือชายที่มีเรือนกายเยี่ยงชายชาตรี สูง อกใหญ่ไหล่กว้าง สะอาดสะอ้าน มีลักษณะของผู้บังคับบัญชาการ เป็นนักรบโดยกมลสันดาน กล้าหาญชาญศึก รอบคอบไม่ประมาท ชอบอุปการะการดนตรีและอักษรศิลป์ อุปนิสัยก็สงวนศักดิ์รักเกียรติ มีสัญชาตญาณรับผิดชอบต่อมวลชน เกิดมาในเชื้อพระวงศ์
3. วฤษภ (นายโค) มีแขนขาใหญ่โต แข็งแรง หน้าผากสูง ดวงตาใหญ่มีแสงแดดเดือดอยู่เป็นนิจ (เป็นไงวะ) มีกิริยาหยาบคายกระด้าง อารมณ์ฉุนเฉียวหุนหันพลันแล่น ไม่ค่อยจะซื่อสัตย์ ไม่มีเหตุผลวิจารณญาณรอบคอบ นิสัยชอบดนตรีในทางที่ต่ำทราม ชอบสำเริงสำราญโลกีย์ ชอบมั่วกับหญิงแพศยา ชายกลุ่มนี้อยู่ในวรรณะแพศย์
4. อัศวะ (นายม้า) เป็นชายวรรณะศูทร สารรูปอัปลักษณ์ขี้ริ้วขี้เหร่น่าเกลียดน่ากลัว แขนขายาวเก้งก้าง ผมหยาบกระด้างเหมือนกาบมะพร้าวแห้ง ฟันใหญ่เหยินและเก ริมฝีปากหนา คอหูไม่สมส่วนกับใบหน้า มีอกสี่เหลี่ยม ขาคดเกเดินงุ่มง่าม ดวงตาถมึงทึงปราศจากความอ่อนโยน เป็นคนหยาบช้าสามานย์แต่ทรหดแข็งแรง
วัตสญะญานยังได้อธิบายว่าแต่ละวรรณะมีขนาดอวัยวะเพศดังนี้ ศาส ยาว 6 นิ้ว วฤษภยาว 9 นิ้ว อัศวะยาว 12 นิ้ว แม้จะเป็นการแบ่งเพียง 3 ขนาด ทั้งที่มีการจำแนกไว้แล้วถึง 4 วรรณะ แต่ก็พอจะทำให้เห็นได้ว่าเป็นการจัดลำดับขนาดที่ยิ่งต่ำศักดิ์อัปลักษณ์ขนาดองคชาติยิ่งใหญ่ เช่นเดียวกับบางตำราคัมภีร์เช่นอยุรเวทประกาศของมัธวะ แบ่งวรรณะละเอียดกว่าซึ่งวรรณะต่ำกว่าก็จะมีขนาดใหญ่กว่า ขณะเดียวกันตำราก็ได้รับการเพิ่มเติมรายละเอียดขึ้นอีก คือศาสมีกลิ่นน้ำรักเหมือนดอกบัว วฤษภมีกลิ่นคล้ายมะนาว อัศวะมีกลิ่นเนื้อ[2]
นอกจากความยาวแล้ว รูปทรงของจู๋ก็ถูกอาจารย์กลุ่มนี้จัดประเภทถึง 9 ชนิด ได้แก่
- จู๋คดไปทางขวา ถือว่าดีมาก
- กลมตรง เสยเป็นมุมได้ระดับ นับว่าดีที่สุด
- สามเหลี่ยม พอใช้
- สีเหลี่ยม ดีมาก
- ตรงเป็นแนวมุมฉากกับลำตัว ถือว่าปานกลาง
- งอขึ้น ก็ปานกลาง
- คดซ้าย ไม่ดี
- งอลง เลวที่สุด
- แบน จัดว่าเลว[3]
โอ้โห อย่างกะ quiz ใน postjung
มีนักประวัติศาสตร์จำนวนมากสันนิษฐานว่ากามาสูตรหรือ kama Sutra มีหลายเวอร์ชั่น ตำรากามาสูตรรจนาโดยวัตสญะญาน (Vatsyayana) นักปรัชญาในยุคพระเวทนั้น สันนิษฐานว่าถูกเขียนขึ้นและเพิ่มเติมไปมาระหว่าง 400 ปีก่อนคริสตกาล – ราวค.ศ. 200 แต่นักประวัติศาสตร์บางคนก็อธิบายว่าอันที่จริง ฉบับที่เห็นและแปลกันในปัจจุบันเพิ่งจะเรียบเรียงกันในคริสต์ศตวรรษที่ 2 นี่เอง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามคัมภีร์ตำราที่ว่าด้วยนรลักษณ์และเพศสัมพันธ์นี้ก็ชัดเจนว่าถูกผลิตขึ้นมาเพื่อรับใช้อุดมคติและจินตนาการในการจัดลำดับช่วงชั้นชาติพันธุ์ ชนเผ่า ภูมิภาค กลุ่มตระกูล เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครองควบคุม ซึ่งมันก็จะเด๋อๆ หน่อยในโลกสมัยใหม่
ซ้ำการวัดคุณค่าจัดระเบียบมนุษย์ผ่านวรรณะชาติกำเนิดรูปพรรณสัณฐานชาติพันธุ์ยังจะเป็นอาชญากรรมในยุคที่มนุษย์เท่าเทียมกัน เช่นเดียวกับการตัดสินว่าบาป กรรมเวรที่ใช้อวัยวะเพศเป็นมาตรวัดก็เป็นชุดคิดที่น่าเวทนา ไม่ว่าจะผูกติดคุณค่าดีงามอยู่ที่ขนาดใดก็ตาม เล็กกลางหรือใหญ่
แต่ดูเหมือนว่าในโลกาภิวัฒน์ของปิตาธิปไตยมีสมการอยู่ที่ว่า ชายเจี๊ยวยิ่งใหญ่ยิ่งยาว เส้นรอบวงยิ่งกว้าง ยิ่งทรงพลัง เหมือนกับที่ในเรามักจะเปรียบเปรยของผู้ชายขนาดใหญ่ๆ เท่าของของม้าตัวผู้ แต่จะไม่เปรียบว่ายาวเท่าหำวาฬสีน้ำเงินแม้จะยาวที่สุดแล้วในอาณาจักรของสัตว์โลก เพราะไม่เห็นภาพของพลังงานความกระเหี้ยนกระหือรือทางเพศ ตรงกันข้ามจู๋ที่มีขนาดเล็กจะถูกเรียกว่าหนอนน้อย อย่างเอ็นดู
มีงานวิจัยศึกษาทัศนคติผู้ชายต่อเรื่องเพศในบังกลาเทศ ซึ่งก็พบว่าไม่ได้แตกต่างไปจากประชากรชายประเทศไทยมากนัก เพราะแม้จะต่างวัฒนธรรมแต่ก็อยู่ภายใต้โครงสร้างปิตาธิปไตยเหมือนกัน
จากการสัมภาษณ์ชายรักต่างเพศบังกลาเทศในชนบทและเมือง อายุระหว่าง 18-55 ปี ทั้งโสดและแต่งงานแล้ว พวกเขาไม่เพียงมักจะเชื่อว่าผู้ชายมีความเหนือกว่าผู้หญิงโดยธรรมชาติและเป็นเรื่องปรกติธรรมดา ยังเชื่อว่าสมรรถภาพทางเพศเป็นสิ่งที่ยืนยัน ‘ความเป็นชาย’ การมีสมรรถภาพทางเพศและ ‘พลังทางเพศ’ คือลาภอันประเสริฐ เป็นความสำเร็จที่มาเพราะโชคช่วย ไม่เหมือนความสำเร็จอื่นๆ อย่างการศึกษาการเงิน หน้าที่การงานที่มาจากความอุตสาหะขยันหมั่นเพียร และการมีพลังทางเพศถือว่ายิ่งใหญ่กว่าความสำเร็จอื่นๆ ในชีวิตเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นการมีเซ็กซ์จึงเป็นเครื่องเครื่องยืนยันว่าสมรรถภาพทางเพศของพวกเขายังคงอยู่[4]
พวกหนุ่มๆ บอกว่า การทำให้ผู้หญิงฟินคือความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ เพราะเซ็กซ์ก็เสมือนกิจกรรมประลองยุทธ์ (ก็คงเหมือนที่ชายไทยชอบ ‘ฟัน’ ผู้หญิง) หรือเกมส์กรีฑา อย่างฟุตบอล บาส เทนนิส คริกเก็ต ที่ผู้หญิงจะไม่มีทางชนะถ้าแข่งกับผู้ชาย ซึ่งการ ‘เอาชนะ’ ของพวกเขาก็คือทำให้พวกเธอเหนื่อยหอบหรือกรีดร้องอย่างสุขสม หรือบอกให้เขารีบแตกไวๆ ซึ่งถือว่าสามารถมัดพวกเธอไว้ได้อยู่หมัด
เซ็กซ์จึงเป็นเครื่องประกันความมั่นใจพวกหนุ่มๆ ว่า ไม่เพียงจะอยู่เหนือหญิงคนนั้นที่เขาอึ๊บ แต่ยังเป็นชายเหนือกว่าชายคนอื่นๆ ที่อาจมีกลยุทธิ์ชั้นเชิง ลีลาไม่เด็ดเท่าเขา
จากงานวิจัย พวกผู้ชายทำความเข้าใจความสุขสมของคู่ผ่านเสียงครวญครางกรีดร้องและปฏิกิริยาตอบสนอง แต่ไม่ยักถามกันตรงๆ เพราะรู้สึกว่าเรื่องเพศเป็นสิ่งที่จะไม่มานั่งจับเข่าคุยกันตรงๆ ขณะเดียวกันก็กลัวว่าการเรียกร้องหรือพูดตรงๆ ของผู้หญิงจะไปทลายความภาคภูมิใจทางเพศของผู้ชาย เพื่อความสบายใจชายบางคนจึงเลือกที่จะละเลยความรู้สึกหฤหรรษ์ทางเพศของผู้หญิงไปเลย การร่วมเพศของเขาคือการแสดงออกถึงพลังทางเพศของเขาเท่านั้น แต่ก็คาดหวังให้ผู้หญิงชื่นชมว่าเขาเด็ด
เพศศึกษาของหนุ่มๆ บังลาเทศในงานวิจัยชิ้นนี้จึงเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเองระหว่างผู้ชาย ซึ่งก็เป็นความรู้ประเภท ‘เค้าเล่าว่า’ หรือไม่ก็จากหนังโป๊ มากกว่าเพศศึกษาจากสาธารณสุขและการแพทย์ ดาราหนังโป๊จึงกลายเป็นโรลโมเดล และความรู้ส่วนใหญ่ก็เป็นความเชื่อแบบขนบ สำหรับพวกเขามีความเชื่อมากมายเกี่ยวกับจู๋ เช่นชักว่าวมากแต่เด็กทำให้จู๋งุ้มงอ การถูไถจู๋กดไว้กับเตียงแข็งๆ เพื่อช่วยตัวเองก็ทำให้จู๋งอไม่สวยเช่นกัน ซ้ำยังลดทอนพลังความเป็นชาย จู๋ที่ดีงามสำหรับพวกเขาจะต้องลำตั้งตรงไม่ใช่งอเป็นสายรุ้ง
และที่สำคัญหนุ่มๆ เชื่ออีกว่าสมรรถภาพและพลังงานทางเพศยังสัมพันธ์กับขนาดของอวัยวะเพศ ยิ่งอลังการ งานยิ่งดี ดูมี charisma กักเก็บน้ำรักและจุพลังงานได้มากว่า มีกำลังวังชาโรมรันพันตูได้อึดกว่า สัมพันธ์กับ ‘ความเป็นชาย’ ที่ต้องแข็งแรงไม่อ่อนแอ ไม่สามารถกลั่นอสุจิไว้ได้ พวกเขาจึงเชื่อว่าผู้หญิงพึงใจกับหำที่ขนาดใหญ่และตั้งตรง ไม่บิดงอหรือเล็กสั้นกะทัดรัด[5]
อันที่จริงอำนาจในการตัดสินใจเลือกและความพอใจทางเพศของผู้ถูกสอดใส่ก็เป็นสิ่งที่ต้องคำนึง บางคนว่าขนาดก็เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจของผู้ที่ถูกสอดใส่ แต่ความพึงพอใจมันก็เป็น subjective ซึ่งแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป ไม่เกี่ยวกับขนาดของจู๋ที่สอดใส่อย่างเดียว
แต่ ‘ความเป็นชาย’ ที่อ้างอิงกับอวัยวะเพศเป็นเพียงสำนึกเอาลึงค์เป็นศูนย์กลาง (Phallocentrism) เหมือนที่เรียกไอ้จ้อนว่า ‘เจ้าโลก’ ที่ทำให้เซ็กซ์ก็มีความสำคัญเพื่อรักษาอีโก้ของผู้ชายเท่านั้น
แม้แต่ความสุขสมของผู้หญิงเองก็เกิดจากการตัดสินของผู้ชาย และเป็นการการประกาศศักดาของอวัยวะเพศชายทั้งบนเนื้อตัวร่างกายของผู้หญิงหรือผู้ถูกสอดใส่
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงบางคนก็สมาทานโลกทัศน์แบบนี้เช่นกัน พวกเธอมองว่าได้ผู้ชายหำใหญ่ดีกว่าหำเล็ก โดยลืมไปว่าสำนึกคิดเช่นนี้แหละที่ประเมินคุณค่าพวกเธอมากน้อย วัดตามขนาดเต้านม
และในยุคที่เงื่อนไขทางเศรษฐกิจสังคมการเมืองเปลี่ยนไป ในโลกที่การจัดลำดับช่วงชั้นในครอบครัวและสถาบันการแต่งงานพร่าเลือน ตำแหน่ง ‘หัวหน้าครอบครัว’ ไม่จำเป็นอีกต่อ breadwinner ได้ผูกขาดอยู่ที่ผู้ชายเท่านั้น อำนาจในการเลือกการควบคุมหรือตัดสินใจอยู่ที่ผู้หญิงได้พอๆ กับผู้ชาย การนิยามเรื่องเพศ เพศศึกษาและเพศวิถีไม่ได้สงวนไว้กับผู้ชายเท่านั้น และการเคลื่อนไหวของเฟมินิสต์และเควียร์ทรงอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ ในโลกชายเป็นใหญ่ มันยากที่จะให้ผู้ชายหลายคนจะกล้ายอมรับว่า ตนเองแพ้หรือตกเป็นรองผู้หญิง
การที่ยังวัดคุณค่า ‘ความเป็นเพศ’ ของผู้ชาย และประกาศอำนาจเหนือผู้หญิงด้วยดุ้นเอ็นที่เรียกว่า ‘กระจู๋’ อยู่ ก็ถือว่าปิตาธิปไตยใกล้จนตรอกแล้วล่ะ
อ้างอิงข้อมูลจาก
[2] รพินทร์ (นามปากกา ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ). โลกียสูตร: มหาตำหรับรักของฮินดู. พระนคร: โอเดียนการพิมพ์, 2507, น. 45-50.
[3] เรื่องเดียวกัน, น. 50.
[4] Sharful Islam Khan, Nancy Hudson-Rodd, Sherry Saggers, Mahbubul Islam Bhuiyan, Abbas Bhuiya, Syed Afzalul Karim and Oratai Rauyajin. Phallus, performance and power: crisis of masculinity. Sexual and Relationship Therapy Vol. 23, No. 1, February 2008, 37–49.
[5] Ibid.