ซีรีส์ The Good Place เพิ่งจบซีซั่นสอง (ซีซั่นละ 13 ตอน) ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยเสียงชื่นชมจาก (แทบ) ทุกทั่วสารทิศ ว่าเป็นซีรีส์ตลกที่สดใหม่ และคาดเดาไม่ (ค่อย) ได้ว่าจะพาคนดูไปทางไหน
นี่เป็นซีรีส์ที่ทำให้ผมสนใจตั้งแต่ตอนที่ประกาศคอนเซปท์ออกมาในปี 2016 และเมื่อมันฉายจริงในปีเดียวกัน ตามด้วยซีซั่นที่สองในปีต่อมา มันก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังแต่อย่างใด มันถูกจัดอยู่ในประเภท ซีรีส์ตลก, นิยายปรัชญา และแฟนตาซี ซึ่งดูเข้ากันไม่ได้เท่าไหร่ แต่ซีรีส์เรื่องนี้ก็ทำได้ และยังได้รับความนิยมสูงด้วยจำนวนผู้ชม 5.72 ล้านคนโดยเฉลี่ยต่อตอนในซีซั่นแรก

Photo by: Colleen Hayes/NBC
เรื่องราวย่อๆ แบบไม่สปอยล์ของ The Good Place คือ มันเป็นซีรีส์สำรวจชีวิตหลังความตายของคน 4 คน คือ Eleanor Shellstrop (Kristen Bell) สาวอริโซน่าที่จริงๆ ตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ทำตัวไม่ค่อยดีสักเท่าไร, Chidi Anagonye (William Jackson Harper) ศาสตราจารย์ด้านจริยธรรมผู้เกิดในไนจีเรียและเติบโตในเซเนกัล, Tahani Al-Jamill (Jameela Jamil) นักการกุศลรำ่รวยผู้เดินทางไปรอบโลก และ Jinanyu Li (Manny Jacinto) นักบวชที่ปฏิบัติพรตใบ้ ไม่พูดไม่จา ทั้งสี่เสียชีวิตด้วยเหตุต่างๆ กัน แต่มาบรรจบในที่เดียวกัน คือ ‘สรวงสวรรค์หลังความตาย’ (The Good Place) ที่มีรูปร่างหน้าตาเป็นหมู่บ้านอันงดงาม ทุกคนมีความสุข รักใคร่ กลมเกลียวกัน ในสวรรค์แห่งนี้ เอเลนอร์ ตัวเอกของเรื่อง กลับต้องเก็บงำความลับที่ว่าตอนมีชีวิตอยู่ตัวเองเป็นคนไม่ค่อยดี (แต่ไหงกลับมาอยู่ในสวรรค์ได้ไงก็ไม่รู้!) ไว้เงียบๆ
ความน่าสนใจของ The Good Place คือ เรื่องย่อที่ว่าไปนั้นต่างมีความลับซ่อนอยู่ในทุกประโยค ไม่ใช่เฉพาะชีวิตของเอเลนอร์! (ถ้าเล่ามากกว่านี้จะสปอยล์แล้ว)
The Good Place ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ว่า ‘ทำให้ปรัชญาดูเท่’ เพราะมันพาเราไปสำรวจแนวคิดเรื่องความดีความชั่วจากนักปรัชญาสายต่างๆ ตั้งแต่โสเครติส เพลโต อริสโตเติล คานท์ ไปจนถึงจอห์น สจ๊วต มิลล์ (และทำให้เข้าใจหลักพื้นฐานของมันได้อย่างง่ายๆ) มันสำรวจเรื่องสวรรค์-นรก ด้วยวิธีแบบเดียวกัน มันกำหนดกฎสนุกๆ ของตัวเองเป็น ‘มิเตอร์วัดความดีความชั่ว’ ที่ใช้ตัดสินว่าเมื่อคุณตายไปแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ด้วยการคิดคะแนนให้กับกริยาต่างๆ ที่เป็นบวกเป็นลบมากน้อยต่างกัน (เช่น ถ้าคุณลูบหัวเด็กทารกด้วยความอ่อนโยน อาจจะได้ +1 คะแนน ในขณะที่ถ้าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สักชนเผ่า อาจจะติดลบ 5,000,000 คะแนน หักลบกลบหนี้กันก็จะได้คะแนนสุทธิออกมาว่าคุณควรจะไปอยู่ที่ไหน)
โดยไม่สปอยล์, ในซีซั่นที่สองของ The Good Place พาเราสำรวจลึกลงไปในคำถามปรัชญาอีกขั้น ด้วยการสำรวจว่าความดีความชั่วนั้น ‘มีจริงและสามารถคำนวณได้จริงหรือ’ โดยผ่านการทดลองทางความคิด เช่น ปัญหา Trolley Problem ของ Philipa Foot ที่หลายคนรู้จักกันดี ปัญหานี้คือการสมมติว่า คุณเห็นรถรางแล่นมาด้วยด้วยความเร็วสูง กำลังจะพุ่งชนคนห้าคนข้างหน้า คุณมีทางเลือกว่า ถ้าสับรางรถ รถรางจะพุ่งไปจนคนหนึ่งคนที่อีกทางแยกหนึ่งแทน แต่ถ้าไม่สับราง รถก็จะพุ่งชนห้าคนแน่นอน คุณจะเลือกทางไหน เมื่อมีข้อจำกัดว่า คุณไม่สามารถตะโกนเตือนใครในปริศนานี้ได้เลย นี่เป็นการทดลองทางความคิดที่มีผู้ตีความกว้างขวางจนเป็นแขนงย่อยๆ ของการศึกษาปรัชญาด้วยตนเอง (มีชื่อว่า Trolleyism, ลองดูหนังสือ The Moral Tribes ของ Joshua Greene ประกอบ) และในยุครถยนต์ไร้คนขับ ก็มีการรื้อฟื้นคำถามนี้ขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง (หากคุณออกแบบระบบรถยนต์ไร้คนขับ และมันต้องเลือกว่าจะขับชนคนท้อง หรือคนแก่ คุณจะเลือกให้มันขับชนอะไร เป็นต้น)
นอกจากคำถามเรื่องความดี-ความชั่วแล้ว The Good Place ยังสอดใส่คำถามปรัชญาด้านอื่นๆ แซมเป็นระยะด้วย เช่นคำถามเรื่องความรับรู้ (conciousness) ของปัญญาประดิษฐ์ ปัญญาประดิษฐ์สามารถมีอารมณ์ความรู้สึกได้ไหม และถ้าเรา ‘รีเซ็ต’ ปัญญาประดิษฐ์ (คือทำให้มันกลับไปอยู่ในสถานะเริ่มต้น) สถานการณ์จริงคือมันจะถูก ‘รีเซ็ต’ โดยสมบูรณ์หรือเปล่า?
ซีรีส์ตลกส่วนใหญ่มักดำเนินเรื่องอย่าง ‘เป็นตอนๆ’ และ ‘สถานการณ์คลี่คลายจบในตอน’ แต่ The Good Place กลับเลือกวิธีเล่าเรื่องที่ต่างออกไป นั่นคือ ในแต่ละตอนไม่จบในตัวเอง มันส่งผลลัพธ์ไปในตอนข้างหน้าเสมอ ด้วยการเลือกวิธีเล่าเรื่องแบบนี้ ทำให้ตอนที่หกของซีรีส์ กับตอนแรกของซีรีส์มีโครงสร้างไม่เหมือนกันเลย ตัวแปรต่างๆ เคลื่อนที่จนอาจกลับหัวกลับหางไปคนละทาง นั่นทำให้เราเดาไม่ได้ว่ามันกำลังจะพาเราไปทางไหน
ด้วยการใช้ปรัชญามาเป็นแก่นเรื่อง ด้วยตัวละครที่มีชีวิตชีวาและ ‘ขโมยซีน’ แทบทุกตัว ด้วยความเหลวไหลและฝันเฟื่อง The Good Place จึงเป็นซีรีส์อีกเรื่องที่เราอยากแนะนำ
—
สามารถดู The Good Place ได้ใน iflix