*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในซีรีส์ Foundation
ที่นี่คือ ‘แทรนทอร์’ ดวงดาวใจกลางจักรวรรดิที่ประกอบดาวอาณานิคมน้อยใหญ่ ดาวดวงนี้คือสถานที่พำนักของ ‘องค์จักรพรรดิคลีออน’ ผู้ทรงปกครองประชากร 8 ล้านล้านทั่วทั้งกาแล็กซี่มากว่า 12,000 ปี แทรนทอร์เป็นทั้งความเจริญรุ่งเรืองและศูนย์รวมอำนาจของจักรวรรดิอวกาศ เทคโนโลยีและการค้าก้าวหน้ากว่าดาวดวงไหนจะเทียบ ทรัพยากรจากดวงดาวห่างไกลต่างหลั่งไหลเข้าสู่แทรนทอร์ผ่านสตาร์บริดจ์และกองยานที่ขนส่งเสบียงลำเลียงมาไม่ขาดสาย จำนวนประชากรของแทรนทอร์หนาแน่นจนผู้คนนับพันล้านต้องอาศัยลึกลงไปกว่าร้อยชั้นจากผิวดาว และพื้นที่ด้านบนคือส่วนที่ราชวงศ์ครอบครอง
ความรุ่มรวยของแทรนทอร์และจักรวรรดิเพิ่มพูนผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน ความยิ่งใหญ่และก้าวหน้านี้คล้ายกับว่าจะยืนยงคงความนิรันดร์ต่อไป ทว่า ความรุ่งเรืองกว่าหมื่นปีของจักรวรรดิกลับถูกสั่นคลอนด้วยคำทำนายของ ‘ฮาริ เซลดอน’ คนเพียงหนึ่งคนที่ทำนายว่า จักรวรรดิอันแข็งแกร่งนี้จะล่มสลายในเวลาอีกห้าศตวรรษ ระบบสังคมจะถูกทำลาย สงครามจะเกิดขึ้นทุกหนแห่งทั่วกาแล็กซี่ และมนุษยชาติจะอยู่ในยุคมืดเป็นเวลานานกว่า 30,000 ปี
ต่างจากการเดินทางแค่ชั่วอึดใจด้วยวิธีจัมป์ผ่านไฮเปอร์สเปซ นิยายไซไฟ Foundation หรือ สถาบันสถาปนา ที่ ไอแซก อาซิมอฟ (Isaac Asimov) เขียนลงแม็กซีนในปี ค.ศ.1942 (ก่อนจะรวมเป็นเล่มแรกในปี ค.ศ.1951) ใช้เวลาเกือบ 80 ปี กว่าจะมาปรากฏบนหน้าจอให้เราได้เห็นในทีวีซีรีส์ชื่อเดียวกันจาก Apple TV+ แต่ถึงอย่างนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเนื้อหาของ Foundation ก็ไม่เคยว่างเว้นที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้เรื่องราวไซไฟระดับไอคอนในยุคหลัง ทั้งในจักรวาล Star Wars ที่มีฉากหลังแสดงถึงการค่อยๆ ไร้อำนาจของจักรวรรดิ หรือใน Dune หนังดัดแปลงจากนิยายไซไฟขึ้นหิ้งที่กำลังจะเข้าฉาย ก็ได้ต้นแบบที่มาตัวละครมาจากโลกของสถาบันสถาปนา
จักรวรรดิเก่า เล่าใหม่
ต้องยอมรับว่าเนื้อหาของ Foundation ไม่ใช่จะดัดแปลงเป็นเวอร์ชั่นคนแสดงได้ง่ายๆ เหตุผลหลัก คือ อาซิมอฟเล่าเนื้อเรื่องในสเกลใหญ่มาก แค่อาณาจักรของจักรวรรดิในเรื่องก็กินอาณาเขตกว้างใหญ่ระดับกาแล็กซี่ เหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นต่างเวลาต่างดวงดาวกัน และตัวละครในเรื่องเองก็มีอยู่ไม่ใช่น้อยๆ การมาถึงของทีวีซีรีส์ Foundation จึงเป็นเหมือนปรากฏการณ์สำคัญที่บรรดาคนคลั่งไคล้ไซไฟกาปฏิทินรอคอย
Foundation เล่าถึง ‘ฮาริ เซลดอน’ นักคณิตศาสตร์ประวัติศาสตร์ (Psychohistory)—ศาสตร์ที่รวมเอาคณิตศาสตร์ จิตวิทยา และประวัติศาสตร์เข้าด้วยกันเพื่อพยากรณ์พฤติกรรมของคนจำนวนมหาศาล—ถ้าเทียบกับตอนนี้ก็อาจจะคล้ายๆ อาชีพ data scientist แต่วิเคราะห์ big data ระดับกาแล็กซี่ เซลดอนคำนวณข้อมูลมหาศาลด้วยสมการอันซับซ้อนจนพบว่า จักรวรรดิที่อยู่มานานกว่าหมื่นปีกำลังจะพังทลายลง และทางรอดทางเดียวคือการสร้าง Foundation (สถาบันสถาปนา) โปรเจกต์ที่เซลดอนคิดขึ้นมาเพื่อเป็นแผนรองรับสำหรับมนุษยชาติ
ความพิเศษของทีวีซีรีส์ Foundation คือ ด้วยเค้าโครงเรื่องเดียวกันกับนิยายต้นฉบับ ซีรีส์ในเวอร์ชั่นคนแสดงได้เพิ่มองค์ประกอบที่ขาดหายไปในหน้าหนังสือ และยังใส่องค์ประกอบใหม่ๆ เข้ามา พร้อมกับงานภาพที่ล้ำหน้าสมกับความเป็นอวกาศ เราได้เห็นความยิ่งใหญ่ของสตาร์บริดจ์ สะพานลำเลียงที่ทอดยาวจากดาวแทรนทอร์ออกไปนอกอวกาศ ได้ดูการเดินทางข้ามดวงดาว ราวกับเรานั่งอยู่ในยานและเดินทางด้วยเทคโนโลยีจัมป์ผ่านไฮเปอร์สเปซด้วยตัวเอง ตัวละครแต่ละตัวก็มีมิติที่น่าสนใจเพิ่มเข้ามา ทั้งหมดคือรายละเอียดที่ก่อนหน้านี้เราทำได้แค่จินตนาการผ่านตัวหนังสือบนหน้ากระดาษเท่านั้น
การกลับมาในรูปแบบทีวีซีรีส์ทำให้เราได้ตื่นตาไปกับยุคสมัยที่มนุษย์ได้ครอบครองจักรวาล และพาเราไปดูการล่มสลายของทุกอย่างที่ได้ครอบครองมา ไม่ว่าจะในทีวีซีรีส์หรือในนิยาย Foundation ยังคงพูดถึงเรื่องที่มักเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ซึ่งก็คือการล่มสลายของอำนาจที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถจะถือครองไปได้ตลอดกาล
จักรวรรดิโรมันในสเกลกาแล็กซี่
เป็นที่รู้กันว่า ไอแซก อาซิมอฟ ได้แรงบันดาลใจในการเขียนนิยายชุด Foundation จาก The History of the Decline and Fall of the Roman Empire หนังสือที่เล่าถึงประวัติศาสตร์ช่วงท้ายของจักรวรรดิโรมันก่อนจะเข้าสู่ยุคมืดของ เอ็ดเวิร์ด กิบบอน (Edward Gibbon) และเป็นประวัติศาสตร์ที่อาซิมอฟนำกลับมาเล่าใหม่อีกครั้ง
สิ่งที่อาซิมอฟทำคือเอาการล่มสลายของจักรวรรดิโรมมันมาใส่ในธีมอวกาศ Foundation เปิดเรื่องมาด้วยภาพของจักรวรรดิคลีออนอันรุ่งเรื่องที่ปกครองพื้นที่ทั่วทั้งกาแล็กซี่ แน่นอนว่าอาณาเขตการปกครองที่กว้างใหญ่ต้องมาพร้อมข้อจำกัด อำนาจที่ไม่ทั่วถึงและการไม่แยแสต่อพื้นที่สุดขอบจักรวาลทำให้กลุ่มดวงดาวอนารยชน (barbarian) เริ่มแยกขาดจากการควบคุมและพยายามทำสงครามกับจักรวรรดิ ซึ่งตรงนี้ก็คล้ายกับเรื่องราวของจักรวรรดิโรมันเลย ในอดีต จักรวรรดิโรมันเองก็เป็นอาณาจักรใหญ่ที่มีอำนาจยาวนานกว่า 500 ปี (27 ปีก่อนคริสตกาล–ค.ศ.476) ปกครองพื้นที่กว่า 5 ล้านตารางกิโลเมตรตั้งแต่คาบสมุทรเมดิเตอร์เรเนียน แอฟริกาเหนือ และเอเชียตะวันตกในช่วงที่อาณาจักรรุ่งเรืองเอามากๆ แต่ความรุ่งเรืองก็อยู่ได้ไม่นาน ในช่วง 300 ปีสุดท้าย จักรวรรดิโรมันต้องเผชิญกับวิกฤตภายในจนต้องแบ่งแยกการปกครองเป็นฝั่งตะวันตกและตะวันออก สาเหตุต่อมาของการล่มสลาย คือ การรุกรานของชาวฮันจากเอเชียกลางที่คอยโจมไล่กินพื้นที่จากทางเหนือของจักรวรรดิ ความยิ่งใหญ่เกินไปจึงเป็นภัยต่อทั้งจักรวรรดิโรมันในประวัติศาสตร์จริง และจักรวรรดิคลีออนใน Foundation
ที่น่าสนใจ คือ จักรพรรรดิในซีรีส์ Foundation เหนือกว่าและเก๋กว่าในจักรวรรดิโรมัน เพราะจักรวรรดิคลีออนนั้นสืบทอดอำนาจด้วยการโคลนนิ่งตัวจักรพรรดิขึ้นมาเลย ในหนึ่งรัชสมัยจักรพรรดิคลีออนจะมีถึง 3 ตัวตน จาก 3 วัย คือ อรุณา (Dawn—วัยเด็ก), ทิวา (Day—วัยหนุ่ม), และสนธยา (Dust—วัยชรา) คลีออนทั้งสามจะร่วมกันปกครองและส่งต่อตำแหน่งให้กัน เมื่อสนธยาจากไป คลีออนที่เคยเป็นทิวาก็จะมาแทนที่ คลีออนโคลนนิ่งคนใหม่ก็จะขึ้นเป็นอรุณาคนต่อไป วนลูปแบบนี้ไปเรื่อยๆ อำนาจของจักรวรรดิคลีออนจึงดูจะมั่นคงกว่าจักรวรรดิโรมัน หรือแม้กระทั่งราชวงศ์อื่นๆ ในประวัติศาสตร์โลกที่ต้องเปลี่ยนตัวผู้ปกครองไปตามกาลเวลา
เรายังเห็นอำนาจขององค์จักรพรรดิคลีออนผ่านคำที่ผู้รับใช้หรือผู้คนเรียกตัวผู้นำของจักรวรรดิ เพราะแทนที่จะเรียกว่า ‘องค์จักรพรรดิ’ (emperor) ผู้คนกลับใช้คำว่า ‘จักรวรรดิ’ (empire) เป็นคำเรียกแทน เท่ากับว่าคนในจักรวรรดิไม่ได้มองคลีออนเป็นแค่ ‘ผู้ปกครอง’ หรือเป็น ‘ตัวแทนของรัฐ/จักรวรรดิ’ แต่คลีออนคือ ‘เจ้าของจักรวรรดิ’ หรือเทียบเท่ากับ ‘รัฐ/จักรวรรดิ’ เองเลยด้วยซ้ำ และพอเป็นแบบนี้ก็หนีไม่พ้นที่ประชากรทั่วทั้งกาแล็กซี่จะเป็นเพียง ‘ผู้อยู่อาศัย’ ภายใต้จักรวรรดิ
ทว่า ต่อให้ตัวจักรพรรดิจะมั่นคงและมีอำนาจมากสักแค่ไหน ความเปลี่ยนแปลงและปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้จะมาถึงผู้มีอำนาจเสมอ ทุกอย่างมีวันล่มสลาย และอำนาจมีวันสิ้นสุด … เหมือนกันกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคอาณาจักรโรมัน
“ความเปลี่ยนแปลงนั้นน่ากลัว โดยเฉพาะในสายตาของผู้มีอำนาจ”
—ฮาริ เซลดอน, Foundation (tv series), 2021
ส่งต่อความรู้ ไม่ใช่อำนาจ
ทางออกของจักรวรรดิที่กำลังจะพังไม่เป็นท่าคืออะไร? ฮาริ เซลดอน นักคณิตประวัติศาสตร์ในเรื่องก็เสนอทางออกที่น่าเอาไปคิดต่อ เซลดอนเสนอว่า ในเมื่อทุกอย่างต้องพังทลายลงและมนุษยชาติจะเดินหน้าเข้าสู่ยุคมืดกว่า 30,000 ปี เราก็ควรจะบันทึกเรื่องราวและเก็บรักษาภูมิปัญญาที่สำคัญๆ ทั้งหมดในตอนนี้ไว้ให้ปลอดภัย ก่อตั้ง ‘สถาบันสถาปนา’ (Foundation) เพื่อทำสารานุกรมจักรวาล เผื่อว่าวันไหนที่การล่มสลายนี้จบลง คนที่เหลือรอดในยุคมืดจะได้นำความรู้นี้ไปฟื้นฟูอารยธรรมให้กลับมาอีกครั้งโดยไม่ต้องเริ่มต้นทุกอย่างใหม่จากศูนย์ เซลดอนบอกว่าโปรเจกต์จะช่วยลดเวลาที่ต้องเข้าสู่ยุคมืดให้เหลือแค่ 1,000 ปี
แน่นอนว่าองค์จักรพรรดิคลีออนมองคำเตือนของเซลดอนเป็นเรื่องเหลวไหล ก่อนจะส่งเซลดอลและลูกทีมไปตั้งสถาบันสถาปนาที่ดวงดาวสุดขอบกาแล็กซี่ เพียงเพื่อจะปกป้องความเชื่อมั่นและป้องกันการลุกฮือของประชากรบนดาวแทรนทอร์
เรายังไม่รู้ว่าโปรเจกต์สถาบันสถาปนาของเซลดอนจะช่วยจักรวรรดิได้จริงไหมในซีรีส์ แต่ในประวัติศาสตร์โลกจริง เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และดูเหมือนว่าทำได้สำเร็จด้วย
ตรงนี้เราต้องกลับมาที่ประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิโรมันกันอีกรอบ โทมาส คาฮิล (Thomas Cahill) ระบุไว้ในหนังสือ How the Irish Saved Civilization: The Untold Story of Ireland’s Heroic Role From the Fall of Rome to the Rise of Medieval Europe ว่า หนึ่งในกลุ่มคนสำคัญที่ช่วยรักษาอารยธรรมของจักรวรรดิโรมันหลังการล่มสลาย คือ กลุ่มชาวไอริชนำโดย เซนต์แพทริก พวกเขาได้ทำการคัดลอกเอกสารและเก็บรวบรวมหนังสือจากพื้นที่ที่ถูกชาวเจอร์แมนิกรุกราน ชาวไอริชกลุ่มนี้คือคนที่เก็บรักษาและฟื้นฟูประวัติศาสตร์ของอารยธรรมยุโรปเอาไว้ เป็นข้อพิสูจน์ว่าแม้อำนาจจะสูญสลายหายไปพร้อมกับจักรวรรดิที่พังลง องค์ความรู้เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยปกป้องจักรวรรดิให้ยังคงอยู่ได้—อย่างน้อยก็ในประวัติศาสตร์โลก
สุดท้าย การล่มสลายของจักรวรรดิคลีออนในซีรีส์ก็ยังเป็นเรื่องที่เราต้องตามดูกันต่อไป ที่สำคัญคือ Foundation นั้นพาเราไปอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน วางคนดูอยู่ระหว่างการล่มสลายของอำนาจเก่า และการเคลื่อนไหวเรียกร้องของคนที่มองเห็นปัญหาสังคม และยังเป็นกลุ่มคนที่สร้างความหวังให้กับอนาคตอันมืด
ก่อนจะถึงวันที่ทุกอย่างเหลือเพียงซากปรักหักพัง เราจะลดความสูญเสียจากการพังทลายลงของสังคมได้รึเปล่านั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า คนที่อยู่ในอำนาจจะยอมรับฟังคำเตือนจากคนในสังคมและนึกถึงอนาคตของคนรุ่นต่อไปมากแค่ไหน
อ้างอิงข้อมูลจาก
- The Cambridge Companion to Science Fiction. Edward James. Cambridge University Press. 2003
- The Routledge Companion to Science Fiction. Mark Bould, Andrew Butler, Adam Roberts, Sherryl Vint. 2011