1.
“เรากำลังตั้งแถวรอต้อนรับประธานาธิบดีอยู่ จากนั้นก็มีเสียงดังสนั่นจนหูอื้อ ผมมึนไปเลย พอตั้งสติได้ ก็เห็นแต่เลือด เสียงตะโกน และเศษไหม้ของแผ่นหินและเนื้อคน”
วันที่ 23 กันยายน ค.ศ.1983 เรือประมงเกาหลีเหนือเทียบท่าย่างกุ้ง เมืองหลวงพม่า ชาย 3 คนลงจากเรือ ท่าทางคล้ายคนเรือทั่วไป แต่ถ้าสังเกตให้ดี จะพบความผิดสังเกต พวกเขาดูคล้ายทหารเสียมากกว่า
หากใครสอบถาม ทั้ง 3 คนจะตอบว่ามาทำภารกิจการทูตให้กับประเทศ ข้าวของที่เตรียมมาดูจะมากกว่าภารกิจจากกระทรวงต่างประเทศด้วยซ้ำ
ทรัพย์สินที่พวกเขาเตรียมมา ประกอบด้วย อาวุธปืน ระเบิด ภารกิจนี้ได้รับคำสั่งมาจากนายพลแห่งเกาหลีเหนือ เป้าหมายคือวันที่ 9 ตุลาคม ณ สุสานนายพลอองซาน วีรบุรุษแห่งพม่า ผู้ขับไล่อาณานิคมอังกฤษออกไปจากประเทศได้ แม้ต่อมาจะถูกลอบสังหารก็ตาม แต่คนพม่าก็ยังรำลึกและยกย่องนายพลอองซาน เช่นเดียวกับกองทัพพม่า ก่อนการมาถึงของออง ซานซูจี
ความพิเศษของสุสานแห่งนี้ในวันที่ 9 ตุลาคมก็คือ นายพลชุนดูฮวาน (Chun DooHwan) ขุนศึกมือเปื้อนเลือด เผด็จการที่โหดเหี้ยมแห่งเกาหลีใต้ ผู้ก่อรัฐประหารยึดอำนาจล้อมปราบประชาชน ก่อนก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีเกาหลีใต้ จะเดินทางมาคารวะสุสานนายพอลอองซาน
ชาย 3 คนคือสายลับเกาหลีเหนือที่ถูกฝึกฝนมาอย่างยาวนาน ภารกิจครั้งนี้แสนเรียบง่าย ติดตั้งระเบิดที่สุสานแห่งนี้ เมื่อประธานาธิบดีชุนดูฮวานเดินทางมาถึง ก็จุดชนวนจากรีโมต
ตูมเดียวที่ต้องการ เมื่อประธานาธิบดีชุนจอมเผด็จการตายแล้ว ประเทศเกาหลีใต้จะต้องวุ่นวายอลหม่าน ถึงขั้นมีการปฏิวัติได้ และนั่นจะทำให้เกาหลีเหนือได้เปรียบต่อศัตรูคู่อาฆาตเป็นอย่างมาก
สายลับเกาหลีเหนือ 3 คนซุ่มรอ วางแผน ทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมาย ตี 2 วันที่ 7 ตุลาคม สายลับทั้ง 3 คนแอบเข้าไปที่สุสานแห่งนี้ ก่อนจะปีนไปติดตั้งระเบิดที่หลังคา จากนั้นพันตรีชินกีชุล (Shin KiChoon) หัวหน้าชุดจะเป็นคนกดชนวนระเบิด ขณะที่สายลับอีก 2 คน จะซุ่มดูสถานการณ์โดยรอบ ชื่อของพวกเขาคือ คิมจินซู (Kim JinSu) และผู้กองคังมินชอล (Kang MinCheol)
ตามแผนคือหลังสังหารประธานาธิบดีชุนแล้ว พวกเขาก็จะหนีไปท่าเรือย่างกุ้ง แล้วขึ้นเรือที่มารอรับตัวไป
หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน สายลับทั้ง 3 คนจะเดินทางกลับเกาหลีเหนือ และได้รับการยกย่องสูงสุด บางทีผู้นำคิมอิลซุง (Kim Eilsung) บิดาผู้ก่อตั้งประเทศ อาจเรียกตัวพวกเขาเข้าพบและแสดงความยินดีด้วย นับเป็นเกียรติยศสุดยิ่งใหญ่ในชีวิต
ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน…
2.
นายพลชุนดูฮวาน เป็นจอมเผด็จการแห่งเกาหลีใต้ เขาก่อรัฐประหารยึดอำนาจ และใช้กำปั้นเหล็กปกครองประเทศ เขาคือผู้สั่งยิงผู้ชุมนุมที่เมืองกวางจู เกาหลีใต้อย่างเลวร้าย แต่ก็พยายามผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงนั้น เกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม มีการจัดพบปะครอบครัวคนเกาหลีที่พลัดพราก เหล่าคณะรัฐมนตรีของนายพลชุน เสนอให้เดินทางไปพม่ากับอินเดีย ซึ่งดูเป็นประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในช่วงสงครามเย็น เพื่อกระชับความสัมพันธ์ นั่นทำให้ประธานาธิบดีชุนเดินทางไปเยี่ยมพม่า
วันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ.1983 เหล่าคณะรัฐมนตรี ที่ปรึกษา นักข่าว ช่างภาพ จากเกาหลีใต้ไปรอกันที่สุสานของนายพลอองซาน พร้อมต้อนรับประธานาธิบดีชุน
ผู้พันชินซุ่มดูเหตุการณ์จากระยะไกล เขากำตัวกดชนวนไว้แน่น ไม่นานเวลานั้นก็จะมาถึง วันลอบสังหาร ภารกิจจะต้องสำเร็จเป็นแน่แท้
รถคันหนึ่งขับมา สัญญาณการโจมตีจะเริ่ม เมื่อขบวนแตรเกียรติยศของพม่าบรรเลง มันเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า ประธานาธิบดีชุนมาถึงแล้ว
และแล้วแตรเกียรติยศก็บรรเลงขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ สมฐานะผู้นำระดับประเทศ ขณะนั้นเวลา 10.25 น.
ได้เวลาแล้ว…ผู้พันกดชนวน
3.
เสียงระเบิดดังกึกก้องอย่างมโหฬาร ชาวบ้านที่อยู่ห่างออกไปยังได้ยินเสียง ควันพวยพุ่ง หลังคาสุสานของนายพลออง ซาน วีรบุรุษแห่งพม่าถล่มลงมา มีผู้เสียชีวิตถึง 21 คน บาดเจ็บ 40 กว่าคน ผู้นำระดับสูงของเกาหลีใต้เสียชีวิต 17 ราย รัฐมนตรีต่างประเทศลีบอมซอก นักการทูตมากประสบการณ์ ซึ่งเป็นคนวางแผนการเดินทางไปต่างประเทศให้กับปธน.ชุน ตายคาที่
ไม่เพียงเท่านั้นระเบิดครั้งนี้ ยังกำจัดรัฐมนตรีคนอื่นๆ บุคคลใกล้ชิดประธานาธิบดีชุน แพทย์ประจำตัว และเอกอัครราชทูตเกาหลีประจำพม่าด้วย และยังมีเจ้าหน้าที่พม่า นักข่าวเกาหลี และประชาชนคนธรรมดาโดนลูกหลงทั้งเจ็บทั้งตายไปด้วย
แต่ไม่มีประธานาธิบดีชุนดฮวาน
ตามกำหนดการเดิมประธานาธิบดีชุนจะต้องเดินทางมาถึงสุสานแห่งนี้เรียบร้อยแล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด เขาจะต้องถูกระเบิดสังหารดับคาที่ ภารกิจของสายลับเกาหลีจะต้องประสบความสำเร็จ
อย่างไรก็ดี ขณะที่ประธานาธิบดีชุนจะเดินทางไปสุสาน รัฐมนตรีต่างประเทศพม่า ขอเข้าไปเยี่ยมชมด้วย นั่นทำให้กำหนดการคลาดเคลื่อนและขบวนรถประธานาธิบดีชุนใช้เวลาบนถนนนานกว่าปกติ
ทางขบวนแตรเกียรติยศของพม่า เข้าใจผิดว่า รถของท่านทูตเกาหลีประจำพม่า คือรถของประธานาธิบดีชุนจึงบรรเลงเพลงต้อนรับ กลายเป็นสัญญาณกดระเบิดที่ผู้พันชินกดชนวน
ชุนดูฮวานเห็นเปลวไฟจากแรงระเบิด ขณะอยู่บนท้องถนน นั่นทำให้เขาต้องเข้ารับการอารักขาอย่างเข้มข้น และร่นระยะเวลาเดินทางสั้นลงกว่าเดิม โดยเดินทางไปแค่อินเดีย จากเดิมที่จะต้องไปศรีลังกา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ด้วย
เขาให้สัมภาษณ์อย่างเผ็ดร้อนถึงการลอบสังหารที่ล้มเหลวนี้ว่า “พวกเราไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่ชี้ให้เห็นว่าพวกคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ คือกลุ่มคนที่โหดร้ายที่สุดในโลก นี่คือการก่ออาชญากรรมที่รุนแรงสุดเหี้ยมต่อผม ซึ่งเป็นประมุขแห่งสาธารณรัฐ”
แม้ตอนนั้น หลักฐานจะไม่ชัดว่าใครคือผู้ก่อเหตุ แต่ประธานาธิบดีชุนและหน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้ก็สืบได้ไม่ยาก นั่นทำให้จอมเผด็จการสุดเหี้ยมโหดแห่งเกาหลีใต้หล่นวาทะว่า
“เดี๋ยวหลักฐานก็จะตามมาเอง”
แม้ชุนดูฮวานจะเป็นประธานาธิบดีที่คนเกาหลีเกลียด แต่แรงระเบิด ยิ่งทำให้สังคมเกาหลีใต้ตกตะลึง ดูเหมือนเกาหลีเหนือจะเป็นศัตรูสุดอันตรายแสนสะพรึง และนั่นทำให้รัฐบาลทหารเกาหลีใต้ยังคงใช้กำปั้นเหล็กปกครองประเทศ เพื่ออ้างภัยจากศัตรูตอนเหนือได้อยู่อีกระยะหนึ่ง
4.
เมื่อจุดชนวนระเบิดเสร็จ สายลับเกาหลีเหนือทั้ง 3 คน ทำตามแผน พวกเขาเดินทางไปที่ท่าเรือ แต่เมื่อไปถึง กลับไม่มีเรือคอยพวกเขาอยู่ ดูเหมือนจะมีการทรยศหักหลังเกิดขึ้นแล้ว เมื่อไม่มีเรือพาพวกเขาหนีจากพม่าได้ ทั้งสามคนจะต้องเอาตัวรอด และหาทางหนีเอง
พม่าปกครองประเทศด้วยระบอบเผด็จการทหารสุดเหี้ยมโหด เหตุการณ์ระเบิดสุสานนายพลอองซาน ถือเป็นการตบหน้าเหล่านายพลอย่างมาก พวกเขาเพิ่มความเข้มข้น เพื่อล่าตัวผู้ก่อเหตุมาให้ได้ นั่นทำให้ประเทศซึ่งสอดส่องประชาชนตัวเองเป็นปกติอยู่แล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความถี่และมาตรการหนักข้อขึ้นไปอีก
สายลับเกาหลี 3 คน จะมีชีวิตยืนยาวในพม่าอย่างอิสรชนแค่ 3 วันเท่านั้น
ผู้พันชินพาลูกน้องทั้งสอง เลียบไปตามแม่น้ำ เพื่อหาเรือที่จะว่าจ้างออกจากประเทศ แต่ระหว่างนั้นแม่ค้าขายน้ำสังเกตเห็นผู้พัน ซึ่งดูผิดปกติ เพราะเป็นคนต่างชาติ แถมหอบข้าวของพะรุงพะรัง จึงแจ้งตำรวจ เจ้าหน้าที่จึงเข้าขอตรวจค้น
สายลับเกาหลีเหนือถูกสอนว่า
ถ้าหนีไม่รอด ให้สู้จนตัวตาย
เอาศัตรูไปท่องปรโลกด้วยกันให้มากที่สุด
ดังนั้นผู้พันจึงควักปืน ปาระเบิดยิงต่อสู้ ทำเอาตำรวจพม่าตายไปหลายคน เช่นเดียวกับคนบริสุทธิ์ สุดท้ายผู้พันชินก็จากบ้านเกิดมาตายในต่างแดน โดยไร้ซึ่งเกียรติยศใดๆ ที่เขาหวังจะได้รับทั้งสิ้น
ทางคิมจินซูกับคังมินชอลก็ร่วมสู้ตาย คิมจินซูตัดสินใจระเบิดพลีชีพตัวเอง ทำเอาตำรวจพม่าตายไปหลายราย แต่ตัวเขากลับไม่ตายเฉย มีเพียงแขนขาดเท่านั้น ส่วนคังมินชอลใช้ปืนสังหารเจ้าหน้าที่ไป 3 ราย แต่สุดท้ายก็ถูกยิงบาดเจ็บ และถูกจับกุมตัวได้ในที่สุด
ทั้งคู่ถูกพาตัวไปโรงพยาบาล ทางการเข้าสอบปากคำ โทษสูงสุดแห่งการก่อความวุ่นวายและสังหารข้ารัฐการพม่า คือการประหารชีวิต มันเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดเป็นใคร มาทำอะไรในพม่า
คิมจินซูปิดปากสนิทไม่ยอมพูดให้การใดๆ ทั้งสิ้น โทษของเขาคือการประหารชีวิต แต่ผู้กองคังมินชอลตัดสินใจสารภาพ เล่าความจริงทั้งหมด นั่นทำให้ทั้งโลกทราบว่าความพยายามลอบสังหารประธานาธิบดีชุน เป็นฝีมือของเกาหลีเหนืออย่างชัดแจ้ง มีหลักฐานชัดเจน
คำสารภาพของคังมินชอลสร้างความไม่พอใจให้กับพม่าอย่างมาก พวกเขายกเลิกความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีเหนือทันที หลังมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาตลอดว่าระหว่างเผด็จการต่อเผด็จการ แม้แต่ประเทศจีน ก็ปฏิเสธที่จะพูดคุยกับเกาหลีเหนือเป็นเวลานาน และหันกลับไปรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีใต้อีกครั้ง
กองทัพพม่าสั่งปลดหัวหน้าหน่วยข่าวกรองที่ทำงานหละหลวมจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น และแต่งตั้งผู้พันขิ่ม ยุ้นต์ดำรงตำแหน่งแทน ในเวลาต่อมาขิ่ม ยุ้นต์จะมีบทบาทในประเทศพม่าต่อไป เหตุการณ์นี้คือจุดเริ่มต้นการเรืองอำนาจของเขา
ความจริงจากปากคังมินชอลทำให้ทั้งโลกทราบความเลวร้ายของเกาหลีเหนือ แต่พวกเขายังไม่เข็ด ยังมีการลอบสังหาร พยายามสร้างเรื่องฉาวต่อเกาหลีใต้อย่างต่อเนื่อง
ส่วนคังมินชอลเกียรติยศที่เขาได้รับหลังทำงานผิดพลาด หลังเปิดปากบอกเล่าเรื่องราว นั่นก็คือการรอดจากโทษประหารชีวิต ศาลพม่าตัดสินจำคุกเขาตลอดชีวิตแทน
5.
เมื่อเวลาผ่านไป ดูเหมือนทุกคนจะลืมเลือนเหตุการณ์พยายามลอบสังหารนี้เฉย ผู้กองคังมินชอลถูกขังลืมในเรือนจำพม่า นับเป็นนักโทษที่ถูกคุมขังนานที่สุด ในคุกที่กองทัพพม่าชอบจับนักกิจกรรม นักการเมืองยัดห้องขังทรมานอย่างโหดเหี้ยม แต่พวกเขาก็ถูกปล่อยตัวออกไป เมื่อเวลาเหมาะสม
แต่ผู้กองคังมินชอลกลับติดอยู่ในนั้น ไม่มีวันเห็นอิสรภาพ ไม่มีวันได้รับการลดหย่อนโทษ
เรื่องตลกก็คือทางประธานาธิบดีชุนดูฮวานกับคิมอิลซุง บิดาแห่งเกาหลีเหนือ มีโอกาสพบปะกันหลังเหตุการณ์นี้หลายปีให้หลัง การพูดคุยเป็นไปอย่างชื่นมื่น ราวกับไม่มีเรื่องที่ย่างกุ้งเกิดขึ้นด้วยซ้ำ
ความตายของข้ารัฐการเกาหลีใต้ถูกจดจำ แต่ก็ปล่อยผ่านไป ความตายของคนพม่าก็ปล่อยผ่านไป ทุกอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น การถูกคุมขังของผู้กองคังต่างหาก ที่ย้ำเตือนถึงความจริงของเหตุการณ์นี้
คังมินชอล คือผลผลิตแห่งหน่วยรบเกาหลีเหนืออันเลื่องชื่อ พวกเขาถูกเพาะบ่ม ถูกอบรม ฝึกหนักเพื่อวางแผนลอบสังหารศัตรูต่างแดน ว่ากันว่า เกาหลีเหนือฝึกสายลับเหล่านี้ไว้ถึง 1.4 หมื่นกว่าคน แต่มีเพียง 7 พันกว่าคนเท่านั้นที่รอดมาได้จากภารกิจ ครึ่งหนึ่งตาย อีกครึ่งหนึ่งถูกลืมเลือน เหมือนตัวคัง
พม่าเองก็เป็นเผด็จการ แม้จะเปลี่ยนชื่อประเทศจากพม่าเป็นเมียนมา แต่กองทัพก็ยังคงอำนาจสูงสุดไว้ ปล่อยให้พลเรือนได้มีอำนาจแค่ชั่วอึดใจเดียว ในปี ค.ศ.2007 เมียนมากลับไปรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนืออีกครั้ง
แต่คังมินชอลยังอยู่ในเรือนจำ
ไม่ได้รับการปล่อยตัวออกมา
เกาหลีใต้ผันผ่านจากระบอบเผด็จการ ก้าวเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ชุนดูฮวานถูกตัดสินจำคุกและหมดอำนาจลงในที่สุด เหตุการณ์ลอบสังหารที่พม่านี้ กลับเป็นที่จดจำในเกาหลีใต้เสียมากกว่าเกาหลีเหนือผู้ก่อเหตุ พวกเขาได้ร้องขอไปยังเมียนมา ให้ส่งตัวผู้กองคังมาเกาหลีใต้ เพื่อรักษาตัว หลังทราบข่าวว่าเขาป่วยเป็นมะเร็ง และอยู่ในคุกพม่านานเกินไปแล้ว
ทางการเกาหลีใต้หวังว่าการรับตัวผู้กองคัง ให้ตัวตนใหม่ อาจทำให้ทราบข้อมูลอะไรในเกาหลีเหนืออีกมาก
แต่แล้วในปี ค.ศ.2008 1 ปีหลังเมียนมาคืนดีกับเกาหลีเหนืออย่างหวานชื่น ขณะที่ทางการเกาหลีใต้พยายามขอตัวผู้กองมาประเทศ
คังมินชอลก็เสียชีวิตในเรือนจำ อย่างไร้ตัวตน ไม่มีใครรู้ว่าเขามีเมีย มีลูก มีครอบครัวหรือไม่ กลายเป็นบุคคลเดียวดายที่ตายไปอย่างโดดเดี่ยว
6.
ทางการอเมริกายืนยันว่าความพยายามลอบสังหารประธานาธิบดีชุนดูฮวานนั้น ไม่ใช่ความคิดแค่นายพลเกาหลีเหนือคนหนึ่งแน่ แต่ต้องมาจากผู้นำตระกูลคิม ที่อนุญาตให้ใช้แผนการนี้ได้ นักการทูตอเมริกาคนหนึ่งบอกว่า “เราคิดว่า คิมอิลซุงเป็นคนที่น่ารังเกียจอย่างมาก แต่เราไม่เคยคิดว่าเขาจะเป็นคนบ้าแบบนี้”
ความตายของผู้กองคังมินชอลทำให้หลายฝ่ายพยายามรื้อฟื้นเรื่องราวสายลับเกาหลีเหนือขึ้นมา และนั่นทำให้พวกเขาพบความจริงว่า เกาหลีใต้ก็ฝึกสายลับไว้สู้กลับเช่นกัน
เมื่อสังคมเกาหลีเข้าสู่ประชาธิปไตย การรื้อฟื้นเรื่องราวนี้ ดูจะเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันคือบาดแผลที่ย้ำเตือนความโหดร้ายแห่งศัตรู 2 แผ่นดินได้อย่างชัดแจ้งที่สุด และมันจะไม่มีวันชะล้างได้ หากทั้งสองฝ่ายเลือกจะซุกไว้ใต้พรม หากไม่เผชิญหน้า นั่นจะกลายเป็นปัญหาต่อเกาหลีในอนาคตอย่างมาก
ผู้เชี่ยวชาญย้ำและตั้งคำถามไว้อย่างน่าสนใจว่า สำหรับผู้กองคัง แม้เขาจะเป็นสายลับ เป็นผู้ก่อการร้าย แต่เพราะเขาถูกครอบงำ ถูกอบรมมาแบบนี้ หากไม่ใช่คำรับสารภาพของเขาเหรอ โลกจึงทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด ความฝันหนึ่งเดียวเกาหลี ไม่อาจละเลยเรื่องราวสายลับพวกนี้ได้หรอก
สายลับซึ่งถูกทรยศจากชาติที่เขารัก
“และถ้าเรายังเมินเฉยต่อพวกเขา ไม่สนใจชะตากรรมชีวิตเหล่านี้ แล้วพวกเราจะฝันถึงการรวมชาติเกาหลีกันได้จริงๆ เหรอ”
ข้อมูลอ้างอิง