1.
“นี่กูทำบ้าอะไรลงไปน่ะเหรอ ก็ฆ่าพวกมันทุกตัวไง!”
เชลบี้ ซีเกล (Shelby Siegel) กำลังนั่งตัดสารคดีสัมภาษณ์ชายคนหนึ่ง เธอตรวจดูฟุตเทจที่ถ่ายมาหลายสิบชั่วโมง แล้วก็พบฟุตเทจเสียงหนึ่งดังขึ้นมาว่า “นั่นไง โดนจับได้แล้ว” มันเป็นเสียงอู้อี้ๆ ทำเอาเธอชะงัก แล้วนั่งลงฟังเสียงนั้นอีกครั้ง
คนที่พูดไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าไมโครโฟนยังติดอยู่กับตัว เขาไม่ได้ปิดมัน ระหว่างเข้าห้องน้ำสลับกับการทำธุระส่วนตัว ชายคนนี้ก็พร่ำบ่นอะไรมากมาย แล้วจบลงว่า ก็ฆ่าพวกมันทุกตัวไง
ทันทีที่ฟังคำพูดนี้จบ ซีเกลก็รีบวิ่งไปหาแอนดรูว์ จาเรคกี้ (Andrew Jarecki) ผู้กำกับสารคดีเรื่องนี้ เพื่อให้ฟังประโยคดังกล่าว นั่นทำเอาแอนดรูว์และทีมงาน ถึงกับสะดุ้งโหยง พวกเขาได้ฟุตเทจเด็ดที่จะใช้ประกอบในสารคดีสุดอื้อฉาวนี้แล้ว
ตำรวจได้บุกจับกุมชายคนนี้ ก่อนที่ซีรีส์สารคดีเรื่องดังกล่าวจะฉายถึงตอนสุดท้าย ซึ่งมีฟุตเทจประโยคสุดอื้อฉาวของฆาตกรที่รับสารภาพว่าได้ฆ่าคนตายไปจริงๆ ประกอบอยู่ในช่วงท้าย
มันจึงกลายเป็นสารคดีที่โด่งดังทั้งอเมริกาอย่างมาก
ฉากจบของซีรีส์นี้ คือการนำเสียงของชายชราพร่ำบ่นยาวๆ เป็นการยืนยันข้อสงสัยที่สังคมกังขามาหลายสิบปี ในที่สุดพวกเขาก็ได้รู้ความจริงแล้วว่า ชายคนนี้ได้ก่อเหตุฆ่าเมียตัวเอง ฆ่าเพื่อนสนิท ฆ่าเพื่อนบ้านจริงๆ
นี่คือเรื่องราวของชายชรา ลูกนักธุรกิจอสังหาริมทรัยพ์ ที่มีทั้งเงิน อำนาจ พลานุภาพ และความโหดเหี้ยม เขาลอยนวลไม่เคยต้องโทษในคุก ไม่เคยถูกพิพากษาว่าเป็นฆาตกรมานานหลายปี
แต่สุดท้ายคำพูดในซีรีย์ ก็ได้กลายเป็นคำรับสารภาพสุดตื่นตะลึง ที่ทำให้ทุกคนรู้ว่า ชายชราคนนี้โกหก เขาเป็นฆาตกรสุดเหี้ยมมานานหลายสิบปีแล้ว
ชายคนนี้มีนามว่า โรเบิร์ต เดิร์สต์ (Robert Durst)
2.
เดิร์สต์ เกิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน ปี 1943 ในครอบครัวที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากอิทธิพล ล้นอำนาจเงินตรา ครอบครัวเขาอาศัยอยู่ในเกาะแมนฮัตตัน นิวยอร์ก ชีวิตสุขสบาย เป็นคนรวย ไม่น่าจะมีอะไรทำให้ทุกข์ใจได้ แต่จุดเปลี่ยนชีวิตเดิร์สต์เกิดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ 6 ขวบ ก็ได้เห็นแม่ตัวเองตาย โดยการตกจากหลังคาที่บ้าน ถึงวันนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาว พลัดตกหรือตั้งใจจบชีวิตตัวเองกันแน่
เหตุการณ์นี้ส่งผลต่อหนูน้อยเดิร์สต์อย่างยิ่ง เขาถูกส่งตัวไปรับการปรึกษาทางจิต ช่วงที่เรียนมัธยมปลาย เดิร์สต์ไร้เพื่อน อยู่อย่างโดดเดี่ยว หนังสือรุ่นมีภาพเขาแค่ภาพเดียว โดยระบุแค่ว่า ไม่มีกิจกรรมอะไรโดดเด่น
ชายหนุ่มลูกคนรวย เรียนมหาวิทยาลัย ก่อนมีโอกาสได้รู้จักกับซูซาน เบอร์แมน (Susan Berman) ซึ่งต่อมาจะเป็นนักข่าว และยังเป็นลูกสาวของเจ้าพ่อบ่อนการพนันลาสเวกัสด้วย โดยทั้งคู่เป็นเพื่อนรักกัน ซูซานจะปกป้องเดิร์สต์ ยืนยันความบริสุทธิ์ให้อีกฝ่าย จวบจนถึงวันที่ถูกเพื่อนสนิทคนนี้ฆ่าตาย
บาดแผลในวัยเด็ก ทำให้เดิร์สต์เป็นมนุษย์ที่ใครเห็นก็รู้ว่าเขาไม่ปกติ แต่กระนั้นลูกคุณหนูรายนี้ ก็ได้แต่งงานกับแคธลีน แมคคอร์แมค (Kathleen McCormack) ซึ่งเป็นนักเรียนแพทย์ ที่อายุอ่อนกว่าเขาถึง 9 ปีด้วยกัน
ทั้งคู่รักกัน และใช้ชีวิตไฮโซอย่างเต็มที่ ทั้งการเที่ยวคลับระดับหรูในเกาะแมนฮัตตัน ล่องเรือที่ยุโรป และมาเที่ยวประเทศไทย โดยช่วงนั้นเดิร์สต์ถูกพ่อสั่งแกมบังคับให้กลับมาสานต่อธุรกิจของครอบครัวด้วย
อย่างไรก็ดีความไม่ปกติของชายหนุ่ม ก็เริ่มปรากฏให้ภรรยาเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เดิร์สต์กับภรรยา เห็นไม่ตรงกันเรื่องลูก หญิงสาวอยากมี แต่ชายหนุ่มไม่ต้องการ เขาบังคับให้เธอไปทำแท้ง แถมทำร้ายร่างกาย จนถึงขั้นเลือดตกยางออก ต้องนอนโรงพยาบาล นั่นทำให้แคธลีนตัดสินใจจ้างทนายฟ้องหย่า
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ ปี 1982 เดิร์สต์เข้าแจ้งความกับตำรวจว่า ภรรยาหายตัวไป หลังขึ้นรถไฟเพื่อจะไปวิทยาลัยการแพทย์ โดยเจ้าหน้าที่ทำการสืบสวนพบว่ามีคนเห็นแคธลีนครั้งสุดท้าย คือวันที่ 1 กุมภาพันธ์ นั่นหมายความว่า สามีคนนี้ปล่อยให้ภรรยาหายตัวไปหลายวัน กว่าจะแจ้งความ
ตำรวจมีเบาะแสมากมายชี้ว่า ผู้ต้องสงสัยในเรื่องนี้คือเดิร์สต์ แต่พวกเขาไม่อาจหาหลักฐานมายืนยันได้ ประกอบกับอีกฝ่ายเป็นลูกคนรวยมากอิทธิพล จึงไม่อาจจับกุมสามีคนนี้ได้
ระหว่างนั้นมีเพื่อนๆ และครอบครัวของแคธลีนออกมาเผยว่า ก่อนหญิงสาวจะหายตัวไป เธอได้บอกว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง อย่าปล่อยให้เดิร์สต์หนีรอดไปได้เด็ดขาด
แต่คนที่ยืนยันความบริสุทธิ์ของชายคนนี้ ก็คือซูซานเพื่อนรัก ที่ยืนยันว่า เดิร์สต์ไม่รู้เห็นในเรื่องนี้เด็ดขาด ส่วนชายหนุ่มก็พูดกับสื่อเพียงสั้นๆ ว่า “ผมคิดว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ และคงหนีเรื่องบางอย่างไป เพราะชีวิตคู่ของเรามีปัญหามาหลายปีแล้ว”
เจ้าหน้าที่เปิดการสืบสวนหญิงสาวกว่า 16 ปี จนปี 1990 เดิร์สต์จึงได้ทำเรื่องหย่ากับภรรยาที่ยังไม่มีใครพบ ก่อนที่ทางการจะประกาศว่าแคธลีนน่าจะเสียชีวิตไปแล้วในปี 2017
จนถึงปัจจุบัน ไม่มีใครรู้ว่าร่างของเธออยู่ที่ไหน
3.
ตลอดเวลานักสืบยังคงสืบสวนคดีนี้มาตลอด จนพบหลักฐานที่คาดว่าซูซานอาจรู้เห็นเป็นใจกับการหายตัวไปของแคธลีน ในปี 2000 ก่อนที่อัยการจะเรียกตัวซูซานมาสอบ ก็มีจดหมายนิรนาม จ่าหน้าซองว่า ‘ซากศพ’ โดยมีการเขียนคำว่าเบเวอร์ลี่ ฮิล ผิด จากที่ต้องเขียนว่า Beverly เป็น Beverley
ต่อมามันจะกลายเป็นหลักฐานสำคัญในการเอาผิดเดิร์สต์
สำหรับจดหมายที่ส่งมาหาตำรวจนั้น ระบุว่าซูซานเสียชีวิตแล้ว ศพอยู่ที่บ้านตัวเอง นั่นทำให้ทางการเข้าตรวจสอบ ก่อนพบว่ามันเป็นเรื่องจริง โดยพบว่าหญิงสาวถูกปืนยิงที่หัว ในระยะเผาขนจนเสียชีวิต
ตำรวจเชื่อว่าผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งในเรื่องนี้คือ เดิร์สต์แน่นอน โดยช่วงนั้น เขาสร้างปัญหาให้กับครอบครัว มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม และบริหารไม่ได้เรื่อง จึงถูกกันออกจากธุรกิจ แต่ก็ยังได้รับเงินในระดับเป็นอภิมหาเศรษฐี อยู่ไปสบายได้ทั้งชีวิต
แต่ไม่มีหลักฐานใดเอาผิดชายคนนี้ได้เลย
และแล้วในปี 2001 ศพชายคนหนึ่ง ที่ร่างถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ก็ลอยเกยตื้นชายหาด ในรัฐเท็กซัส ตำรวจตรวจสอบและยืนยันผู้ตายได้ เขาชื่อ มอร์ริส แบล็ก (Morris Black) อายุ 71 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของเดิร์สต์ ที่ย้ายตัวเองมาอยู่ที่เมืองนี้ ตำรวจพบว่าชายหนุ่มได้ทะเลากับผู้ตาย ก่อนจะมีการแย่งปืน แล้วเกิดลั่นใส่แบล็กตาย จากนั้นเดิร์สต์ได้หั่นศพร่วมกับแฟนสาว แล้วเอาไปทิ้งที่อ่าว
ตำรวจคุมตัวลูกเศรษฐีขึ้นศาล ก่อนได้รับการประกันตัวด้วยวงเงิน 3 แสนดอลลาร์ ซึ่งเดิร์สต์ตอบแทนความยุติธรรม ด้วยการหนี นั่นทำให้ทางการระดมกำลังไล่ล่า ใช้เวลา 54 วัน จึงพบตัว หลังเดิร์สต์โดนตำรวจท้องถิ่นจับกุมได้ขณะที่อีกฝ่ายกำลังขโมยแซนด์วิชและหนังสือพิมพ์ ณ ร้านสะดวกซื้อ
เดิร์สต์อ้างว่า เขาไม่ได้เจตนาฆ่าคน แต่มันเป็นการป้องกันตัว เนื่องจากทั้ง 2 มีการแย่งปืน และที่ต้องหั่นศพเอาไปทิ้งอำพราง ก็เพราะอยู่ในอาการช็อกตกใจกลัว จึงต้องทำแบบนั้น
ข้ออ้างนี้ ไม่มีคนบ้าที่ไหนจะเชื่อได้ลงแน่ ยกเว้นลูกขุนที่ตัดสินคดีนี้ ด้วยอำนาจเงินในการจ้างทนายความค่าตัวแพง ทำให้ปี 2004 เดิรสต์พ้นผิด เพราะลูกขุนมองว่าการก่อเหตุของเขา ถือเป็นการป้องกันตัว
การพ้นมลทินทางกฎหมายนี้ ทำให้เดิร์สต์ได้รับความสนใจไปทั้งอเมริกา ความอื้อฉาว ข้อสงสัยมากมายในตัวเขาที่อาจเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของภรรยา การเสียชีวิตของเพื่อนรัก และการฆ่าคนตาย แต่รอดคุกมาได้
นี่ทำให้ทุกคนอยากจะสัมภาษณ์เขา ซึ่งเดิร์สต์เลือกที่จะเก็บตัว ไม่ยอมให้สื่อเข้าพบ แต่แล้วด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ เมื่อแอนดรูว์และทีมงาม ติดต่อไปเพื่อขอสัมภาษณ์ บอกว่าจะถ่ายทำเรื่องเขา เป็นสารคดีข่าว เดิร์สต์จึงขอนัดพบและอนุญาตให้ทำได้ทันที
และมันนำไปสู่คำรับสารภาพอันน่าตกตะลึงนั่นเอง
4.
แอนดรูว์ทำการบ้านมาอย่างดี มีการตรวจสอบหลักฐานมากมาย เรียกได้ว่าทำการบ้านมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน นั่นทำให้พวกเขาพบซองจดหมายหนึ่ง ที่เดิร์สต์ส่งให้ซูซานเพื่อนรัก 1 ปีก่อนที่อีกฝ่ายจะถูกฆาตกรรม ความน่าสนใจของจดหมายนี้คือ หน้าซองที่อยู่ มันมีการสะกดคำว่าเบเวอร์ลี่ ฮิลผิด เหมือนกับจดหมายนิรนาม ที่ส่งมาถึงตำรวจเพื่อแจ้งศพของซูซานด้วย
ทีมงานได้นำคำที่เขียนผิดจากจดหมาย 2 ซองนี้ให้เดิร์สต์ดู ซึ่งตัวเขา ไม่สามารถแยกได้ว่า อันไหนคือลายมือที่เขาเขียน แล้วอันไหนคือลายมือที่จดหมายนิรนามจ่าถึงตำรวจ
การสัมภาษณ์ช่วงนี้ ทำเอาเดิร์สต์ตัวสั่น หลังจากสัมภาษณ์เสร็จ เขาขอตัวไปเข้าห้องน้ำ โดยลืมไปว่า ไมโครโฟนยังติดอยู่ที่ตัว แล้วพูดประโยคลือลั่นว่า “นั่นไง โดนจับได้แล้ว” แล้วจบประโยคว่า “นี่กูทำบ้าอะไรลงไปนะเหรอ ก็ฆ่าพวกมันทุกตัวไง!”
ทีแรกทีมงานสารคดีไม่ได้เอะใจกับเรื่องนี้ จนผ่านไปหลายปี หลังการตัดและเตรียมฉายผ่านทางช่องเอชบีโอ ทีมตัดต่อจึงพบข้อความสุดสำคัญนี้
ความประจวบเหมาะเกิดขึ้น เพราะเวลานั้น ตำรวจก็ยังตามคดีนี้อยู่ ทั้งการหายตัวไปของแคธเธอลีนและการตายของซูซาน พวกเขาพบจดหมายที่เดิร์สต์เขียนถึงเพื่อนรักที่ล่วงลับไปเช่นเดียวกับทีมสารคดี และพบการสะกดผิดตรงคำว่า เบเวอร์ลี่ ฮิล เหมือนกัน เมื่อส่งให้กองพิสูจน์หลักฐานเช็ก ก็ได้รับการยืนยันว่า ใครก็ตามที่เขียน จดหมาย 2 ฉบับนี้ เขาคือคนเดียวกันแน่
เพราะการสะกดผิดนี้เอง ทำให้ตำรวจบุกจับกุมเดิร์สต์ หลังจากลอยนวลจากการฆาตกรรมมาหลายปี เขาก็ถูกคุมตัวเข้าคุกในสภาพชายชรา ฐานฆ่าซูซานเพื่อนรัก
สุดท้ายแล้วเดิร์สต์ที่เชี่ยวชาญการเอาตัวรอดมาได้หลายปี ก็รับสารภาพว่า เขานี่แหละที่ฆ่าซูซาน โดยบอกว่า
“ไม่เธอ ก็ผมนี่แหละ มันไม่มีทางเลือกไหน ก็แค่นั้นแหละ”
อย่างไรก็ดีชายชราไม่ได้บอกว่า เขายิงเพื่อนรักทำไม แต่ตำรวจเชื่อว่าเพราะซูซานรู้ข้อมูลบางอย่างว่าเพื่อนสนิทคนนี้ แท้จริงแล้วก็คือฆาตกรสุดโหดที่ฆ่าเมียตัวเอง และเตรียมจะให้ข้อมูลแก่ตำรวจ
นั่นจึงทำให้เธอถูกเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ฆ่าปิดปาก
ในที่สุด หลังรอดคุกมาได้ และอยู่อย่างผู้บริสุทธิ์มาหลายปี คราวนี้ลูกขุนก็ตัดสินให้เดิร์สต์ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต โดยไม่มีเหตุให้ต้องลดโทษอีกต่อไป
ชายหนุ่มต้องโทษในเรือนจำ และจากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 10 มกราคม ปี 2022 ปิดฉากชีวิตสุดโหดด้วยวัย 78 ปี โดยก่อนเขาตายนั้น ทางการเตรียมนำตัวเขาขึ้นศาลอีกครั้ง เพื่อดำเนินคดีฐานฆาตกรรมภรรยาตัวเอง
5.
ตำรวจเชื่อว่าเดิร์สต์ฆ่าภรรยาตัวเองแน่ๆ เพราะการให้ปากคำยืนยันที่อยู่เขา ก่อนและหลังการหายตัวไปของแคธเธอลีนนั้น ดูขัดแย้งกันไปหมด และเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบเรื่องทั้งหมด ยืนยันว่าชายชราให้การเท็จหลายเรื่อง น่าเสียดายที่อีกฝ่ายตายเสียก่อนที่จะถูกคุมตัวขึ้นศาล รับฟังคำพิพากษาอีกคดี
โดยหลักฐานเด็ดในเรื่องนี้ ก็คือคำรับสารภาพในสารคดีที่เขาย้ำว่า ตัวเองนี่แหละ ที่ฆ่าทุกคนไปทั้งหมด ซึ่งก็เพียงพอจะโน้มน้าวใจลูกขุนให้เชื่อว่าเขาผิดจริงแล้ว
แม้เขาจะจากโลกนี้ไปก่อน แต่คำรับสารภาพของเดิร์สต์ที่พูดในสารคดีเรื่อง The Jinx: The Life and Deaths of Robert Durst ที่ฉายในปี 2015 กลายเป็นประเด็นที่โด่งดังอย่างมาก สารคดีนี้คว้ารางวัลชนะหลายเวที แถมยังเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันว่าเดิร์สต์คือฆาตกรสุดโหด แสนอันตรายอย่างมาก เพราะคำรับสารภาพนี้ ไม่มีแม้แต่การยอมรับผิด นอกจากเสียใจที่ตัวเองดันพลาดง่ายๆ แค่เรื่องการสะกดคำผิดนี้
ทางแอนดรูว์ ผู้กำกับสารคดีชุดนี้ ยอมรับว่าตอนเจอเดิร์สต์ครั้งแรก อีกฝ่ายเป็นคนสุภาพมาก แต่งตัวดี แต่มันเหมือนการพยายามปิดบังตัวเองว่า ด้วยภาพลักษณ์นี้ เขาไม่น่าจะเป็นคนเลวได้ และเมื่อสื่อถามแอนดรูว์ว่าแปลกใจไหม ที่รู้ว่าเดิร์สต์ติดคุกตลอดชีวิต ผู้กำกับหนุ่มได้เผยว่า เขาไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย
“ตอนแรกผมคิดว่า เขาไม่น่าจะเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ก็ไม่ชัวร์ว่าผิดจริงตามที่สังคมครหาหรือเปล่า พอคุยกันไปนานๆ ผมก็เริ่มรู้แล้วว่าเขาคือฆาตกรตัวจริง”
อ้างอิงจาก