ถึงแม้จะยังตามหาพระธัมมชโยไม่พบ แต่เสี้ยวหนึ่งของยุทธการล้อมจับ & ปิดตายฐานทัพจานบินถิ่นธัมมี่ ด้วยแสนยานุภาพระดับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ 3,600 นาย ณ วัดพระธรรมกาย (สาบานว่า ทั้งหมดนี่รัฐทุ่มทุนเพื่อตามจับพระสงฆ์ ที่อ้างว่ากำลังอาพาธกระเสาะกระแสะอยู่เพียงรูปเดียวเนี่ยนะ!) ซึ่งเริ่มปฏิบัติการเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่เพิ่งผ่านมา ก็ได้เปิดเผยให้โลกทั้งใบทราบว่า ภายในจานบิน เอ๊ย! วัดแห่งนี้ มีสิ่งปลูกสร้างที่จะมีเฉพาะองค์กรลับระดับเขย่าความมั่นคงของโลกเท่านั้นถึงจะมีได้อย่าง ‘อุโมงค์ลับ’ อยู่อีกด้วย
อุโมงค์ที่ว่านี้ ฝังหนอกอยู่ในพื้นที่ทางด้านหลังอาคารภาวนา 60 ปี (ส่วนอาคารภาวนา 60 ปี จะมีพิกัดอยู่ตรงส่วนไหนของวัดพระธรรมกาย ใครอยากรู้ก็ไปเปิด GPS ดูกันเอาเองนะครับ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน) โดยฝังตัวอยู่ใต้บ่อน้ำพุที่มีความลึกขนาดชวนให้ครางเสียงดังซี้ดอูยย สำหรับใครที่กลัวความสูง เพราะมันลึกเท่ากับตึกสูง 12 ชั้น แถมยังมีขนาดใหญ่ยาวจนชวนให้ร้องโอดโอยมากกว่า เพราะมันมีระยะทางเดินภายในเป็นรูปตัวอักษร U ยาวถึง 3 กิโลเมตร จึงทำให้เจ้าอุโมงค์นี่น่าสงสัยมากๆ เลยสำหรับใครหลายๆ คน
และก็ยิ่งชวนให้น่าสงสัยเป็นที่สุดสำหรับใครคนที่ต้องนำกองกำลังที่มีแสนยานุภาพระดับ 3,600 นาย เข้าไปตามหา และล้อมจับพระธัมมชโยถึงถิ่นที่อยู่ แต่ไม่ว่าจะทำยังไง้ ยังไงก็หาหลวงพ่อท่านไม่เจอนั่นแหละครับ
ดังนั้นจึงดูเหมือนจะไม่แปลกอะไรที่เมื่อมีการค้นพบอุโมงค์ใหญ่ยาวขนาดนี้แล้ว จึงต้องทั้งตีข่าว ทั้งปูพรมเข้าค้นหาหลวงพ่อผู้เป็นเป้าหมายของยุทธการล้อมจับ เพราะเมื่อเป็นยุทธการที่เอิกเกริกกันระดับใครที่เคยขี่ช้างจับตั๊กแตนยังต้องมองบน แล้วสะบัดบ๊อบ เบอร์นี้แล้วยังหาไม่พบ พระธัมมชโยจะอยู่ที่ไหนได้ถ้าไม่อยู่ภายในอุโมงค์? ดังนั้นเจ้าอุโมงค์ที่ว่านี่จึงไม่ใช่อุโมงค์ธรรมดา แต่เป็นอุโมงค์ลับ ที่ใช้สำหรับหลบซ่อนตัว หรือหลบหนีไปที่อื่น
แน่นอนว่า สุดท้ายก็อย่างที่เฉลยเอาไว้ตั้งแต่ข้อเขียนชิ้นนี้ว่า พระธัมมชโยยังคงอยู่ในทะเบียนบุคคลหายสาปสูญ ซึ่งก็หมายความด้วยว่า หลวงพ่อท่านไม่ได้หลบไปจำวัดอยู่ในอุโมงค์นี้หรอกนะครับ
ส่วนข้อสงสัยที่ตามมาติดๆ แทบจะพร้อมกันเลยที่ว่า อุโมงค์นี้จะมีทางออกไปยังพื้นที่อื่นใดภายนอกของเขตวัดพระธรรมกายได้หรือเปล่า? ก็ถูกเฉลยพร้อมกันกับที่มีการปูพรมเข้าค้นหาภายในอุโมงค์แห่งนี้ เพราะปลายสุดของแผนผังรูปตัว U ทั้งสองข้างนั้นเป็นทางตันเหมือนกันทั้งคู่ อุโมงค์เจ้าปัญหานี้เข้าออกได้ทางเดียว คือตรงบริเวณพื้นที่ด้านหลังอาคารภาวนา 60 ปีนั่นเอง
เอาเข้าจริงแล้ว สิ่งที่น่าสงสัยยิ่งกว่าเจ้าอุโมงค์ในวัดพระธรรมกายแห่งนี้ก็คือ การเผยแพร่เรื่องราว และภาพของอุโมงค์ที่ชวนดูน่าสงสัยนี่ต่างหาก
เหตุการณ์เข่นฆ่านักศึกษาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ‘ลานประหาร’ สำคัญอย่าง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวณชายแดน บุกเข้าสลายการชุมนุมด้วยวิธีอันรุนแรง และโหดเหี้ยม ก่อนจะจับตัวนักศึกษาจำนวน 3,094 คน ไปฝากขังที่โรงเรียนตำรวจนครบาล บางเขน สถานีตำรวจ แล้วจึงค่อยมีการเข้าตรวจค้นมหาวิทยาลัยแห่งนั้นโดยละเอียด
คืนต่อมา ตรงกับวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2519 พล.ต.ท. ชุมพล โลหะชาละ รองอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ได้แถลงการณ์ผลการตรวจค้นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผ่านทางโทรทัศน์ช่อง 5 โดยมีใจความตอนหนึ่งระบุว่า ผลการตรวจค้นได้พบ ‘อุโมงค์ลับ’ ภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้คือ อุโมงค์ใต้ดินที่คณะบัญชี ซึ่งมีทางออกได้สองทาง ทางหนึ่งออกไปยังบริเวณท่าพระจันทร์ ส่วนอีกทางออกไปยังบริเวณท่าน้ำหลังมหาวิทยาลัย
แน่นอนว่า เจ้าอุโมงค์ลับที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นี่ ยังถูกค้นพบร่วมกับอะไรต่างๆ อีกมากที่ ซัดทอดให้เหล่านักศึกษากลายเป็น ‘ผู้ร้าย’ ในเหตุการณ์น่าสะเทือนขวัญในครั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ห้องปรับอากาศ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นห้องลับ เพราะนอกจากจะมีห้องน้ำอยู่ในตัวแล้ว ยังซ่อนอยู่บนเพดานของตึกคณะบัญชีอีก โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นห้องประชุมของแกนนำนักศึกษา แถมยังอ้างว่าได้พบบรรดาอาวุธสงครามต่างๆ ให้อีกเพียบ เรียกได้ว่าเป็นคำให้สัมภาษณ์ที่มีอินเนอร์จากหนังสายลับของฮอลลีวูดมาเต็มเลยทีเดียว
แต่ก็ไม่ใช่แค่ คำแถลงการณ์ดังกล่าวเท่านั้นหรอกนะครับ ที่กล่าวอ้างว่ามีอุโมงค์ลับในธรรมศาสตร์ คำสัมภาษณ์ของ พล.ต.อ. เสน่ห์ สิทธิพันธ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในขณะนั้น ยืนยันว่ามีการพบอุโมงค์ในธรรมศาสตร์ แต่ท่านเสน่ห์อ้างไว้ ณ ขณะจิตนั้นว่า ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าอยู่ตรงจุดไหนของมหาวิทยาลัย
ใช่ครับใช่ ตลอด 41 ปีหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ก็ไม่เคยมีใครมีบุญตาได้เห็นอีกเลยนะครับว่าไอ้เจ้าอุโมงค์ลับที่ว่ามันอยู่ตรงไหนของธรรมศาสตร์ นี่ยังไม่นับห้องลับใต้เพดานอะไรนั่นอีก เป็นไปได้ว่า อุโมงค์ลับที่ธรรมศาสตร์คงจะมีพุทธานุภาพ เบอร์เดียวกับหลวงพ่อธัมมชโย ที่ลูกศิษย์ลูกหาของวัดพระธรรมกายบางคนเชื่อว่า ทำให้เจ้าหน้าที่บุกเข้าไปแล้วมองไม่เห็นหลวงพ่อ
แต่ถ้าอุโมงค์ลับที่ธรรมศาสตร์ไม่มีพุทธานุภาพอย่างที่พระธัมมชโยมี มันก็คงเป็นเพียงอะไรที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใส่ไคล้บรรดานักศึกษาทั้งหลาย พร้อมๆ กับที่สร้างความชอบธรรมแบบผิดๆ ในการล้อมปราบและสังหารด้วยอำมหิตในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ นั่นแหละนะครับ
น่าสนใจด้วยว่าข้อหาอุกฉกรรจ์ที่บรรดานักศึกษาในครั้งนั้นถูกใส่ร้ายอย่างหนึ่งก็คือ เป็น ‘คอมมิวนิสต์’
และคอมมิวนิสต์ที่ประสบความสำเร็จในการใช้ ‘อุโมงค์’ ในการสงครามเพื่อดำเนินแผนการรบแบบจรยุทธก็คือ พวกเวียดกง (แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติ) ในสงครามเวียดนาม ที่ทำเอาเทคโนโลยีของทหารอเมริกันถึงกับไปไม่เป็น
สงครามเวียดนามจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายเวียดนามเหนือ ที่เป็นคอมมิวนิสต์ เหนือรัฐบาลของฝ่ายเวียดนามใต้ ที่มีสหรัฐอเมริกาหนุนหลังอย่างจัดเต็ม จนกรุงไซ่ง่อนของฝ่ายเวียดนามใต้แตกเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 หนึ่งปีเศษๆ ก่อนหน้าเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ในบ้านเราเท่านั้นนะครับ
นี่ยังไม่นับว่า ‘สงครามเวียดนาม’ เป็นส่วนหนึ่งของอะไรที่เรียกกันว่า ‘สงครามเย็น’ ซึ่งเป็นการประจัญหน้าระหว่างโลกที่แบ่งเป็นสองขั้วหลักๆ คือโลกคอมมิวนิสต์ และโลกฝั่งประชาธิปไตย (เอิ่มม ไทยก็อยู่ในโลกฝั่งนี้นะครับ ถึงแม้ว่าเราจะยังม่เคยแน่ใจได้จริงๆ สักทีว่าบ้านนี้เมืองนี้เคยมีประชาธิปไตยเต็มใบหรือเปล่า?) ที่เพิ่งจะมาสิ้นสุดเอาเมื่อเกิดการยุบสหภาพโซเวียต ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2534 นี่เอง
พูดง่ายๆ ว่า ‘อุโมงค์’ เป็นภาพแสดงแทนถึงความน่าเกลียดน่ากลัวตัวละบาทของคอมมิวนิสต์ ที่รัฐบาลสยามในยุคนั้นสร้างภาพให้ประชาชนรับรู้ด้วยความหวาดกลัวอย่างหนึ่งนั่นแหละ
แต่ก็อย่างที่บอกนะครับว่า อุโมงค์ลับที่ธรรมศาสตร์นั้นก็คงจะเป็นอุโมงค์ลับจริงๆ เพราะนอกจากท่านชุมพล ท่านเสน่ห์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตรวจพบแล้ว ก็ไม่เคยมีใครพบเห็นอุโมงค์ลับที่ว่านั่นอีกเลย เรียกว่าทำหน้าที่เป็นอุโมงค์ลับได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยิ่งกว่าอุโมงค์ของพวกเวียดกง ที่แม้จะเป็นสถานที่เร้นลับสำหรับพวกทหารอเมริกัน แต่พอสงครามจบ ก็กลายสภาพเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ไม่ใช่สถานที่ลับพิเศษอะไรอีกต่อไป
ส่วนอุโมงค์ที่วัดพระธรรมกายนั้นไม่ใช่อุโมงค์ลับ เพราะทางวัดเขาก็บอกอยู่ทนโท่ว่า อยู่ข้างใต้บ่อน้ำพุ และมีบ่อน้ำอยู่ภายในเพื่อที่จะใช้ทำเป็นน้ำตก ยิ่งเมื่อถูกทางการเข้าตรวจค้นจึงไม่ควรถูกนับว่าเป็นอุโมงค์ลับอะไร เพราะก็มีภาพการตรวจค้นกันเห็นๆ อยู่ไม่เหมือนกับเรื่องยกเมฆอย่างอุโมงค์ลับในธรรมศาสตร์
แต่อุโมงค์ที่ลึกลับ คลุมเครือ และดำมืดที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยนั้น ก็ยังไม่ใช่อุโมงค์พวกนี้หรอกนะครับ แต่เป็นเจ้า ‘อุโมงค์ยักษ์’ ที่รัฐท่านลงทุนสร้างขึ้นเพื่อจัดการน้ำไม่ให้ท่วมเมืองกรุง เพราะใครหลายคนต่างก็เห็นภาพถ่ายของอดีตพ่อเมืองกรุงเทพฯ แอ็คท่าอยู่ในอุโมงค์แห่งนี้กันอยู่บ่อยๆ แต่จนกระทั่งทุกวันนี้ เราก็ยังต้องทนทุกข์กับน้ำรอการระบายกันอยู่ ราวกับเป็นสิ่งปกติในชีวิตประจำวันในทุกฤดูน้ำหลาก แถมยังไม่ค่อยจะแน่ใจได้ด้วยว่า เจ้าอุโมงค์ยักษ์อันนั้นมันสร้างกันเสร็จหรือยัง? และเอาเข้าจริงแล้ว ใครหลายคนก็ชักจะสงสัยว่า ไอ้เจ้าอุโมงค์ยักษ์ที่ว่านี่มันมีอยู่จริงรึเปล่า(วะ)?
ต้องเป็นอุโมงค์ที่ชวนให้รู้สึกปลงอนิจจังขนาดนี้ต่างหากล่ะครับ ถึงคู่ควรให้เราเรียกว่าเป็น ‘อุโมงค์ลับ’ ที่แท้จริง 😛