วันศุกร์ต้นเดือน เงินเดือนก้อนใหม่เพิ่งถูกโอนเข้ามาในบัญชี เพื่อนกำลังเครียดเพราะอกหัก น้องกำลังจะเดินทางไปเรียนต่างประเทศ พี่ชายเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งใหม่ ปิดดีลบริษัทหมื่นล้าน แมวที่บ้านคลอดลูก พืชผลที่ปลูกขายดิบขายดี ฯลฯ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เรามักมองหาโอกาสในการสังสรรค์กับเดอะแก๊งอยู่เสมอไม่ว่าเมื่อไหร่ นอกจากปัญหาในการจับฉลากว่าจะให้ใครไปจองโต๊ะแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ยังแก้กันไม่ตกคืออาการเมาค้างในเช้าวันต่อมา ยิ่งถ้าแดดเช้าๆ แยงตาและใครทำเสียงดังตึงตังจะอาการกำเริบมากเป็นพิเศษ Zbiotics บริษัทสตาร์ทอัพจากเมือง San Francisco รู้ดีว่านี่คือปัญหาที่มนุษยชาติกำลังประสบพบเจอ เขาจึงอาสายื่นมือเข้ามาช่วยแก้ไข ให้เช้าหลังปาร์ตี้สดใสปลอดโปร่งไม่อึนๆ เบลอๆ ตัวลอยตลอดทั้งวันอีกต่อไป
ไอเดียของผลิตภัณฑ์จาก Zbiotics คือการใช้ ‘โปรไบโอติก’ (Probiotics) หรือที่หลายคนเรียกมันว่าแบคทีเรียดีนั้นแหละครับ ซึ่งเจ้าแบคทีเรียดีเหล่านี้ปกติก็อยู่ตามธรรมชาติในลำไส้ ทำให้ลำไส้แข็งแรงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งมีรายงานกล่าวถึงโปรไบโอติกส์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1990 โดย Elie Metchnikoff นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย ซึ่งปกติแล้วสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทำมาตลอดคือการหาแบคทีเรียดีเหล่านี้ที่อยู่ในธรรมชาติและหาวิธีใช้งานตามความสามารถที่แบคทีเรียเหล่านี้มี แต่ Zbiotics กลับเริ่มต้นจากปัญหาที่พวกเขาอยากแก้ไขแล้วไปสร้างแบคทีเรียเหล่านี้ในห้องแล็บ โดยใช้วิธีการตัดแต่ง DNA ของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เหล่านี้ให้สามารถทำงานที่พวกเขาต้องการ
Zbiotics ใช้เวลากว่าสองปีในการพัฒนาโปรไบโอติกที่ตัดแต่งพันธุกรรมเป็นเจ้าแรกของโลก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นคนแรกที่พยายามแก้ไขปัญหาแฮงก์โอเวอร์ เพราะในตลาดก็มีทั้งยาแบบเม็ดฟู่ผสมแอสไพรินแก้ปวดหัวและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแก้เมาค้างที่มีส่วนประกอบของวิตามินบี 1 และ บี6 ลดอาการมึนงงเวียนศีรษะหรือแม้แต่สูตรเครื่องดื่มแก้แฮงก์สุดคลาสสิกอย่างสไปร์ทและไข่ดิบก็ถูกใช้กู้ชีพมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เราต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งว่าของที่มีในตลาดนั้นยังทำงานไม่ได้อย่างที่โฆษณาเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับเหล่าผีเสื้อกลางคืนที่ตอนนี้อาจมีหนทางเยียวยาให้ไม่รุนแรงอย่างที่เคย
แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องเข้าใจตรงกันคือสิ่งที่ Zbiotics กำลังสร้างนั้นเป็นวิธีการป้องกันไม่ได้เป็นวิธีรักษาอาการ เพราะฉะนั้นอย่างแรกที่ห้ามลืมคือตั้งสติให้มั่นแล้วใช้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาขณะที่กำลังดื่มสังสรรค์ไม่ใช่ตื่นเช้ามาแล้วค่อยกินเมื่อรู้สึกแฮงก์ เพราะนั่นจะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย
แล้วมันทำงานยังไงล่ะ? พวกเขาจับเจ้าแบคทีเรียเหล่านี้มาดัดแปลงเพื่อให้พวกมันสร้างเอนไซม์ (ที่ปกติร่างกายสร้างขึ้นมา) เพื่อย่อยสลายสารพิษตกค้างจากการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเจ้านี้แหละเป็นต้นเหตุทำให้คนรู้สึกแย่ๆ หลังจากดื่มมากจนเกินไป เพราะฉะนั้นก็คงสรุปได้ง่ายๆ ว่าพวกเขาดัดแปลงโปรไบโอติกให้มีความสามารถเกินกว่าปกตินั้นเอง
อย่างที่เราทราบกันดีว่าโปรไบโอติกนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่อยู่ในระบบอาหารของมนุษย์มาเป็นพันๆ ปีแล้ว ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายเรา แต่สำหรับการกินเข้าไปเพื่อให้ทำงานตามหน้าที่เฉพาะยังคงเป็นเรื่องใหม่ในวงการนี้ โดยใหม่ถึงขนาดที่ว่าพวกเขายังไม่ได้ทำการทดลองทางคลีนิคที่ป็นสิ่งจำเป็นต่อการพิสูจน์ว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขานั้นทำงานได้จริงๆ ไม่ใช่แค่คำกล่าวอ้างเหมือนกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารราคาแพงที่มีเกลื่อนท้องตลาด ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกที่ผู้บริโภคก็ยินดียอมจ่ายเงินซื้อของเหล่านี้ในตลาดทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่ามันทำงานได้ตามที่โฆษณารึเปล่า แต่เป็นสิ่งที่นักลงทุนชอบเพราะทำเงินได้อย่างมหาศาล
Zack Abbott และ Stephen Lamb ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัททั้งสองคนยอมรับอย่างเปิดอกว่าเป็นความท้าทายในการโดดเด่น ให้ทุกคนเห็นว่าเรามีความน่าเชื่อถือ มีผลิตภัณฑ์ที่ดี และไม่ใช่วิทยาศาสตร์ปลอมๆ ที่แอบอ้างสรรพคุณโดยไม่มีหลักฐานรองรับ Abbott ที่จบปริญญาเอกด้านจุลชีววิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยาจากมหาวิทยาลัย University of Michigan กล่าวว่า
“ในพื้นที่ของธุรกิจนี้มันเต็มไปด้วยวิทยาศาสตร์แบบครึ่งๆ กลางๆ ทุกคนต่างป่าวประกาศว่าตนเองคือวิทยาศาสตร์ของจริง เพราะฉะนั้นจึงเป็นความท้าทายที่ใหญ่หลวงในการทำให้ตัวเองแตกต่างจากคนอื่น และโน้มน้าวลูกค้าว่าเราได้สร้างบางอย่างที่เฉพาะเจาะจงจริงๆ นะ”
“นี่เป็นความพยายามครั้งแรกที่จะสร้างบางอย่างขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ แทนที่จะหยิบวิตามินจากชั้นวาง ใส่ขวดแล้วก็ติดฉลาก”
“มีหลายบริษัท…ที่บอกว่าอาการขาดน้ำคือสาเหตุของอาการแฮงกโอเวอร์ แต่นั่นไม่เพียงพอ มีอีกหลายบริษัทที่เอาวิตามินใส่ในขวด ซึ่งก็ไม่พอเหมือนกัน มีเรื่องไร้สาระมากมาย เราต้องสร้างความแตกต่างยังไง? มันอาจต้องใช้เวลาและความพยายามมากพอสมควร”
ในระยะก่อนการเปิดตัวสินค้า ผู้ก่อตั้งบริษัททั้งสองคนบอกว่าพวกเขาได้ทดลองโปรไบโอติกที่ดัดแปลงพันธุกรรมนี้กับตัวเอง และบอกอย่างมั่นใจเลยว่าพวกเขาเห็นผลลัพธ์ที่ ‘มีความหวัง’ อย่างมากเลยทีเดียว
Abbott บอกต่อว่า “ผมโชคดีมากที่ได้รับผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ใกล้เสร็จสมบูรณ์ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ก่อนงานเลี้ยงวันเกิด ผมเลยได้ลองใช้มันเลยในวันนั้นและมันก็เยี่ยมมาก”
แต่พวกเขาก็บอกนะครับว่าไม่ได้สนับสนุนให้คนดื่มอย่างไม่มีความรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นพวกเขาไม่ได้วางตัวเป็นนักชีววิทยาสำหรับการดื่มอย่างสุดเหวี่ยง สิ่งที่พวกเขาต้องการคือการแก้ไขปัญหาที่น่าท้าทายด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ส่วนราคาในตอนนี้ยังอยู่ในขั้นการพิจารณา แต่พวกเขาบอกว่าอยากให้เข้าถึงกลุ่มคนที่หลากหลายมากกว่าที่จะเป็นสินค้าพรีเมี่ยมราคาสูงเอื้อมไม่ถึง สิ่งที่พวกเขาหวังคือการให้ผลลัพธ์ของมันเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเองและคนบอกต่อกันไปเรื่อยๆ ได้ทดลองว่าเจ้าแบคทีเรียที่ไปย่อยสารพิษในร่างกายนั้นทำงานได้จริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงความรู้สึกหลอกๆ จากการกินยา แต่ถึงอย่างนั้นก้าวต่อไปที่พวกเขาอยากทำคือการได้ทดลองทางคลีนิคเพื่อเก็บข้อมูลมาเป็นหลักฐานมากกว่าที่แค่พูดลอยๆ ถึงสรรพคุณของมัน
ตอนนี้พวกเขาได้ทำการทดลองในหลอดทดลองและพบว่าแบคทีเรียที่พวกเขาสร้างมานั้นทำงานอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ได้อย่างดี ด้วยการทำลายสารเคมีที่เรียกว่า acetaldehyde ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่พวกเขาไม่ได้บอกว่าผลกระทบต่อร่างกายในระยะยาวว่าเป็นยังไงเพราะยังไม่ได้ทำการทดลองกับมนุษย์อย่างแท้จริง โดยภายในปีนี้ทาง Zbiotics วางแผนว่าจะทำการระดมทุนเพื่อสร้างกระแสให้กับผลิตภัณฑ์และได้หนูทดลองที่เต็มใจใช้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาด้วย
แม้ว่าเหตุผลทางธุรกิจจะทำให้พวกเขาทุ่มเทในการทำโปรเจกต์นี้ให้สำเร็จ แต่พวกเขาก็บอกว่าความจริงอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้คือปัญหาอาการแฮงก์โอเวอร์นั้นเป็นสิ่งที่คนพบเจอบ่อยมาก มันเป็น ‘everyday problem’ ที่น่าสนใจมากกว่าแค่การสร้างแบคทีเรียที่ทำให้คนสุขภาพดีขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่การทำแบบนี้ก็ถือเป็นดาบสองคมที่อาจกลับมาทำร้ายตัวเองได้เช่นกัน เพราะเหมือนเครื่องสำอางค์ต่อต้านริ้วรอยก่อนวัย ผลลัพธ์ยาป้องกันอาการแฮงก์นั้นค่อนข้างขึ้นอยู่กับบุคคล บางคนก็อาจได้ผลดีมากหรือบางคนอาจไม่รู้สึกอะไร
อีกสาเหตุหนึ่งที่ค่อนข้างมีเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเลือกสร้างยาป้องกันอาการแฮงก์ คือพวกเขาต้องการปัญหาบางอย่างที่สามารถแก้ไขได้ด้วยเอนไซม์ เพื่อใช้แบคทีเรียที่ถูกตัดแต่งพันธุกรรมในการทำงานตามที่ถูกสร้างขึ้นมา
โปรเจกต์ต่อไปของพวกเขาหลังจากสร้างยาป้องกันอาการเมาค้างได้แล้วคือการสร้างโปรไบโอติกที่มีความสามารถในการปรับใช้ได้ในอีกหลายสถานการณ์ พูดอีกอย่างหนึ่งง่ายๆ เหมือนเป็นการสร้างต้นแบบของแบคทีเรียที่ต่อเติมเสริมแต่ง DNA ได้อย่างง่ายๆ เพื่อให้มันทำงานตามต้องการ
ในเวลานี้ทางบริษัทได้รับเงินลงทุนจำนวน 2.8 ล้านเหรียญ (ไม่ได้มีการเปิดเผยข้อมูลว่ามาจากไหน) เพื่อการวิจัยพัฒนาและสร้างแผนการสำหรับผลิตภัณฑ์ตัวนี้ พวกเขายังหวังว่าการระดมทุนที่กำลังจะเกิดขึ้นน่าจะช่วยกระตุ้นให้นำสินค้าตัวนี้ออกสู่ตลาดได้เร็วยิ่งขึ้นในตลาดของประเทศอเมริกา
biotech ไม่ใช่พื้นที่การลงทุนที่เหมาะสำหรับทุกนักลงทุน ทั้งด้านความเสี่ยงในการพัฒนาสินค้า ระยะเวลาที่ไม่แน่นอน แถมบางครั้งยังถูกมองว่าไม่น่าเชื่อถืออีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่กลุ่มนักลงทุนที่อยู่เบื้องหลัง Zbiotics จึงไม่ออกมาแสดงตัวให้คนอื่นได้รู้ แต่พวกเขารู้ดีว่าตลาดของโปรไบโอติคนั้นมีขนาดที่ใหญ่ (ประมาณ 4 หมื่นล้านเหรียญ) และความจริงก็คือว่าของเดิมอาจไม่ได้มีประสิทธิภาพอย่างที่โฆษณา หรือทำได้บ้างไม่ได้บ้าง พวกเขาได้มีโอกาสพูดคุยกับนักลงทุนหลายคน รวมถึงคนที่มองเห็นศักยภาพของโปรไบโอติคที่ถูกดัดแปลงทางพันธุกรรม ก็เห็นตรงกันว่าสิ่งนี้กำลังจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในธุรกิจนี้ โดยนักลงทุนบางคนก็ไม่ได้อยู่ในธุรกิจ biotech เลยด้วยซ้ำ
ถ้าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี อีกหน่อยเราอาจจะเห็นยากันแฮงก์วางไว้ในตู้เย็นร้านสะดวกซื้อเต็มไปหมดเหมือนยาคูลท์ เลือกหยิบได้ตามใจชอบและยกกระดกก่อนไปสังสรรค์ยามราตรี โดยมีสโลแกนติดข้างขวดว่า “คืนนี้ยังเยาว์ แด่เช้าวันใหม่ที่ไม่แฮงก์โอเวอร์” และประเทศไทยก็คงมียอดจำหน่ายสูงสุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก