เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้าใครได้อ่านข่าวจากทาง The MATTER ก็คงเห็นข่าวการรวมตัวกันประท้วงรัฐบาลไทยของชาวไทยในญี่ปุ่น ที่จัดขึ้นที่หน้าสถานีชิบุยะ กรุงโตเกียว (ซึ่งจริงๆ แล้วมีการรวมตัวกันที่โอซาก้าด้วย) ซึ่งก็เป็นการรวมตัวประท้วงของชาวไทยในญี่ปุ่นครั้งที่สองแล้ว และผมเองก็ไปมาทั้งสองครั้ง
สำหรับคนที่ไม่เคยอยู่ญี่ปุ่น อาจจะคิดภาพออกยากหน่อยว่าการประท้วงในญี่ปุ่นเป็นอย่างไร ขอพูดถึงการประท้วงครั้งนี้ก่อนแล้วกัน คือจริงๆ ที่มีการรวมตัวกันได้ก็เพราะมีการตั้งกลุ่มคนไทยในญี่ปุ่นที่รักประชาธิปไตยในเฟซบุ๊ก ทำให้รวมตัวกันง่ายขึ้น เมื่อเทียบกับรอบก่อนที่ พอโพสต์เกี่ยวกับ ‘การเมือง’ ในกลุ่มคนไทยในญี่ปุ่นก็โดนลบหมด ผมเองก็ไม่รู้เรื่องจนมีเพื่อนส่งข่าวมาค่อยรู้ว่ามีการรวมตัวประท้วงกัน แถมสถานที่คือหน้าสถานีชิบุยะ จุดรวมพลยอดฮิตหน้ารูปปั้นของเจ้าหมาฮาจิโกะ
ฟังดูอาจจะน่าห่วง เพราะเล่นรวมตัวกันในพื้นที่สำคัญวันอาทิตย์ แต่ว่า อยู่นี่เขาก็ทำอะไรเป็นระบบนะครับ คือมีการขอใช้พื้นที่และเสียงจากตำรวจเรียบร้อยแล้ว ทำให้สามารถรวมตัวประท้วงกันตรงนั้นได้ พูดอีกทีก็ ประท้วงตรงหน้าป้อมตำรวจนั่นล่ะครับ แต่ก็ทำให้ต้องทำอะไรตามเวลาที่จัดไว้ เพราะมีคนญี่ปุ่นต่อคิวรอจัดกิจกรรมของเขาอยู่ และเสียงที่ใช้ก็ไม่ได้ดังรบกวนใครอะไรนัก
บอกตรงๆ ว่า เสียงของรถกระจายเสียงของพวกขวาจัดในญี่ปุ่นที่เดินสายเปิดไปทั่วนี่ดังกว่าเยอะครับ อันนี้ใช้แค่เครื่องขยายเสียงเล็กๆ พอให้คนผ่านไปผ่านมาได้ยินเสียงเท่านั้น มันก็เลยไม่ได้จัดว่าเป็นการรบกวนอะไรใครนัก แถมปกติตรงนี้ก็มีจัดอีเวนต์นั่นนี่อยู่ประจำอยู่แล้ว เลยไม่ใช่เรื่องปัญหาอะไร (เอาจริงๆ เสียงที่ใช้นี่เบากว่าเวลามีคนจัดกิจกรรมเพี้ยนๆ เช่นนักการเมืองคนนึงที่เป็นลุงอายุมากๆ ใส่เสื้อสีชมพูทั้งตัว มาเปิดเพลงแล้วก็เต้น แล้วก็ไป…) ดังนั้นจะบอกว่าทำทุกอย่างตามระเบียบกำหนดไว้ก็ว่าได้ครับ
ผมคงขอเว้นเรื่องรายละเอียดกิจกรรม เพราะหลักๆ ก็คือการขึ้นมาปราศรัยแบบฟรีไมค์ ใครอยากพูดก็ขึ้นมา เนื้อหาก็คล้ายๆ ที่ไทยนั่นล่ะครับ แต่ก็มีคนที่พูดเป็นญี่ปุ่นเพื่อให้ชาวญี่ปุ่นได้รู้ปัญหาของไทยด้วย แต่รีแอ็กชั่นของชาวญี่ปุ่นที่ผ่านไปผ่านมาก็หลากหลาย มีทั้งไม่ได้สนอะไร เดินผ่านไปเฉยๆ ก็ไม่แปลกอะไรครับ เพราะมันเป็นที่สาธารณะ คนก็อยากจะรีบไปทำธุระของตัวเอง มีทั้งมองแบบงงๆ กับป้ายภาษาที่ตัวเองไม่คุ้น มีคนสนใจมายืนมุงบ้าง ที่ผมเจอคือคนที่มีมากับชาวต่างชาติ (ตะวันตก) ก็พยายามอธิบายให้ชาวต่างชาติเข้าใจ ก็หลากหลายดีครับ
ช่วงนี้ข่าวเรื่องเมืองไทยก็เป็นประเด็นในญี่ปุ่นอยู่เรื่อยๆ มีรายการทำข่าวเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย เพื่อนร่วมงานผมก็ถามว่าเป็นไงบ้าง ก็ไม่แปลกที่พอมีการประท้วงของคนไทยในญี่ปุ่นก็กลายเป็นข่าว เพราะมีคนแจ้งสำนักข่าวไปด้วย (ผมก็แจ้งครับ แฮ่) พอเป็นข่าวมา คอมเมนต์ในเน็ตก็มีหลากหลายไม่น้อย
แต่ที่มาแบบไม่ผิดความคาดหมาย
คือความเห็นในแง่ลบ
ตามประสาชาวเน็ตญี่ปุ่น ที่ไม่ต้องเปิดหน้าแล้วก็พูดกันได้เต็มที่ แถมในเน็ตยังมีชาวเน็ตกลุ่มที่ถูกเรียกว่า ชาวเน็ตขวา คือพวกที่คอยที่จะเชิดชูเรื่องชาติตนเองว่าเหนือคนอื่น ด่าชาวต่างชาติ และไม่สนเรื่องประเทศอื่น และส่งเสียงดังกว่าคนอื่นเขา ซึ่งจริงๆ ก็ไม่น่าจะใช่แค่ญี่ปุ่นที่มีแบบนี้ แต่ว่าชาวญี่ปุ่นเขาก็รู้ตัวดีว่ามีคนกลุ่มนี้และแปะป้ายกลุ่มนี้มาเกินสิบปีแล้วครับ
ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรกับความเห็นกลุ่มนี้ ที่จะบอกว่า จะมาประท้วงทำไมให้ลำบากคนอื่น เรื่องของประเทศแกเองสิ ไม่อยากอยู่ญี่ปุ่นก็ออกไป จะมารวมตัวทำไมให้เสี่ยงไวรัสแพร่กระจาย ซึ่งจริงๆ ไอ้เรื่องพวกนี้ก็แย้งกลับได้หมด
ทั้งที่จัดการประท้วงแบบสงบและขออนุญาตแล้ว รวมถึงพื้นที่นี้ปกติก็มีคนเยอะอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้เป็นพื้นที่ปิด ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงอะไรขนาดนั้น และคนร่วมยังใส่หน้ากากกันหมด เพราะมีการแจ้งขอความร่วมมือแล้ว (ขนาดที่ครั้งแรกหลังรวมตัวเสร็จ คนญี่ปุ่นที่จะใช้พื้นที่ต่อคือจะจัดกิจกรรมรณรงค์ให้คนใส่หน้ากากอนามัยให้มากขึ้น ก็ยังขอความร่วมมือจากคนไทยที่รวมตัวเสร็จ เพราะประทับใจที่คนไทยใส่หน้ากากกันพร้อมเพรียงดีมาก)
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่ตกใจกับความเห็นแบบนี้ นอกจากจะรู้ว่ามีพวกขวาคอยโพสต์อะไรแบบนี้อยู่แล้ว ก็คือ ตั้งแต่ตอนมีเรื่อง Black Lives Matter ที่มีการรวมตัวกันเรียกร้องเรื่องนี้ในญี่ปุ่น ก็มีความเห็นในทวิตเตอร์ทำนองเดียวกันว่า จะมารวมตัวทำไม เพิ่มความเสี่ยงแพร่ไวรัสทำไม ทำให้มีภูมิคุ้มกันกับความเห็นแบบนี้อยู่แล้ว และไม่ถือเป็นสาระอะไรกับความเห็นประเภทกล้าเมื่อเป็นนิรนาม
แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจความเฉยเมยตรงนี้ของชาวญี่ปุ่น (ไม่ได้เห็นด้วย) เพราะตามประสาประเทศเกาะที่หลายครั้งเรื่องนอกประเทศก็เป็นเรื่องไกลตัว และเอาจริงๆ แม้จะมีชาวญี่ปุ่นที่ออกไปทำธุรกิจทั่วโลก หรือท่องเที่ยวกันเยอะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เกี่ยวกับความอยากจะเข้าใจปัญหา หรือเรื่องราวต่างๆ ในชาติอื่นๆ มากนัก
เรียกได้ว่า
แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน ก็ว่าได้
ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันที่ไทยเองก็มีเรื่องคือ เจ้าของชาวญี่ปุ่นของเครือร้านกินดื่มเจ้าดังโดนจับได้ว่าโพสต์อินสตาแกรมสตอรี่ เรียกคนที่มาประท้วงที่อโศกว่า ‘ไอ้พวกไทยมุง’ และบ่นว่าวันนี้ร้านคงขายไม่ได้ พอมีคนเห็นแล้วเอาออกมาแชร์ก็กลายเป็นเรื่องในเน็ต เมื่อพอรู้ข่าวก็มีการตั้งใจแบนร้านนี้ว่าจะไม่ไปกินอีก ก็เรียกว่าอยู่ดีไม่ว่าดีจริงๆ ครับ แต่นี่ก็อาจจะสะท้อนมุมมองของคนญี่ปุ่นที่ทำธุรกิจในไทยได้ไม่น้อยครับ
ในไทย ชาวญี่ปุ่นกลุ่มใหญ่คือ กลุ่มถูกส่งมาทำงานประจำเมืองไทย และอีกกลุ่มคือ ทำธุรกิจรองรับกลุ่มแรกนี่ล่ะครับ ซึ่งสำหรับกลุ่มแรกเขาก็ต้องคอยเช็กสถานการณ์ทางการเมือง เพื่อส่งข้อมูลให้ต้นสังกัดตัดสินใจอยู่แล้ว แต่สำหรับกลุ่มหลังคือ อะไรก็ได้ ขอให้สงบและทำธุรกิจได้ จึงไม่แปลกใจที่จะแสดงความคิดเห็นแบบนั้นออกมา แต่คงลืมไปว่า จริงๆ แล้วหนึ่งในเป้าหมายของร้านตัวเองก็คือ กลุ่มคนทำงาน first jobber ที่อยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมเช่นกัน ของแบบนี้เรียกได้ว่าปากพาจนจริงๆ ครับ
แต่เอาเข้าจริงแล้ว เมื่อมามองย้อนดูความเห็นของชาวญี่ปุ่นที่มีต่อกลุ่มผู้ประท้วงชาวไทย ก็นึกถึงตัวผมตอนได้เห็นชาวลัทธิฝ่าหลุนกง ออกมานั่งประท้วงสถานทูตจีนที่รัชดาทุกเช้า เมื่อซักสิบกว่าปีก่อน ผมเห็นอยู่บ่อยมาก ตอนนั้นก็รู้สึกแปลกใจหน่อยและคิดว่าจะได้ผลเหรอ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นปัญหาอะไรมาก เพราะว่า เขาก็นั่งประท้วงเฉยๆ
หรือตอนที่มีการประท้วงที่สถานทูตต่างๆ โดยผู้ประท้วงไม่ใช่คนไทย ผมเองก็เฉยๆ นะครับ (เจอบ่อยเพราะทำงานที่อโศก) เพราะก็คิดว่าเป็นสิทธิ์ที่จะออกมาประท้วง การออกมารวมตัวกันแบบนี้มันส่งผลกระทบต่อคนในพื้นที่น้อย เลยไม่รู้สึกว่าการประท้วงของคนไทยจะเป็นปัญหาอะไรเช่นเดียวกัน