1.
“พวกคุณโคตรห่วยเลย เพราะถ้าพวกคุณแน่จริง ก็ต้องจับเราได้แล้วสิ”
วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม ปี ค.ศ.1984 คัตสึฮิสะ เอซากิ อายุ 42 ปี ประธานบริษัทกูลิโกะ เดินทางกลับจากงานแต่งงาน ด้วยความเมื่อยล้า จึงอาบน้ำที่ชั้น 3 ในคฤหาสน์สุดหรู กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ส่วนภรรยาและลูกสามคนพักอาศัยกันเป็นปกติ
ห่างคฤหาสน์เขาออกไป เป็นบ้านพักของแม่เอซากิ วัย 70 ปี ชายสองคนใส่หน้ากากปกปิดใบหน้า บุกเข้ามาในบ้านหญิงชรา โดยการพาดบันไดหนีไฟ ข้ามรั้วอิฐ พร้อมปืนไรเฟิลและปืนสั้น ขณะที่ชายอีกราย นั่งรอในรถสีแดงสองประตูอยู่ข้างนอก
คนร้ายจับกุมแม่เอซากิ แล้วขอกุญแจเข้าคฤหาสน์ประธานกูลิโกะ ก่อนจับหญิงชรามัดไว้ พวกเขาบุกตัดสายโทรศัพท์ อย่างชำนาญ ก่อนไขกุญแจเข้าคฤหาสน์ บุกเข้าบ้าน จับกุมภรรยาเอซากิและลูกทั้งสามคนไว้
“อย่าส่งเสียงดัง”
เมื่อภรรยาเอซากิบอกว่า อยากได้เงินทองอะไรก็เอาไปได้เลย เหล่าวายร้ายได้พูดออกมาว่า “เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญ” ก่อนจะจับภรรยาและลูกทั้งสามมัด แล้วบุกจี้จับเอซากิที่กำลังอาบน้ำอยู่ เขาถูกพาตัวออกมาในสภาพเปลือยกาย ทีแรกเอซากิต่อรองขอแต่งตัวก่อน
แต่สัญญาณเตือนภัยที่ติดไว้ในบ้านดังขึ้น นั่นทำให้เหล่าคนร้ายเร่งพาตัวเอซากิขึ้นรถเก๋งสีแดงที่จอดด้านนอกออกไป ในสภาพอีกฝ่ายเปลือยเปล่า
“ถ้าส่งเสียงดัง พวกเราจะฆ่าคุณ”
คำขู่ของผู้ลักพาตัวช่างดุดันมาก เอซากิปิดปากเงียบ นั่งก้มหน้า ขณะรถเก๋งขับขึ้นทางด่วน ออกจากกรุงโตเกียว มุ่งสู่โกดังแห่งหนึ่งในเมืองโอซากา
นี่คือจุดเริ่มต้นแห่งตำนานของปริศนา
2.
ภรรยาเอซากิแก้มัดได้สำเร็จ ก่อนจะรีบแจ้งผู้บริหารของบริษัทกูลิโกะ พวกเขารีบเร่งมาที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยตำรวจ ในเวลาไม่นาน มีโทรศัพท์ที่ถูกอัดเสียงโดยเอซากิ ส่งไปยังหนึ่งในผู้บริหารบริษัท ก่อนที่จดหมายซองสีน้ำตาลจะส่งมาถึง ประกาศเรียกค่าไถ่ชีวิตเอซากิ เป็นเงิน 1 พันล้านเยน (ประมาณ 260 ล้านบาท) และทองคำทั้งหมด 100 กิโลกรัม โดยให้เอาไปใส่ในรถสีขาวที่จอดหน้าบริษัท ขับไปบ้านของผู้บริหารคนหนึ่ง แล้วทิ้งรถพร้อมทรัพย์สินไว้ตรงนั้น
จดหมายย้ำว่า ห้ามแจ้งตำรวจเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะฆ่าประธานบริษัทกูลิโกะ
อย่างไรก็ดี เพราะความที่คนถูกลักพาตัวเป็นผู้บริหาร—นักธุรกิจซึ่งมีชื่อเสียงมากในญี่ปุ่น ทำให้เรื่องเล็ดรอดไปถึงสื่อมวลชน และตำรวจต้องเข้ามาสืบสวน พวกเขาพบว่า ลูกๆ ของเอซากิ เคยเห็นรถเก๋งสีแดงของคนร้ายจอดอยู่ใกล้บ้าน ก่อนเกิดเหตุหลายวันมาแล้ว
ตำรวจเชื่อว่าผู้ลักพาตัวมีการวางแผน ซุ่มดูจนรู้ตารางเวลาชีวิตเอซากิ และรู้แบบแปลนคฤหาสน์เป็นอย่างดี จึงรวบรวมรายชื่อผู้เกี่ยวข้องเข้าออกบ้าน รวมถึงช่างก่อสร้าง และทีมผู้บริหารบริษัทกูลิโกะ ก่อนพบว่า มีผู้ต้องสงสัยกว่า 640 รายชื่อ
ตำรวจส่งชุดสืบสวน 163 นายมาทำงานในคฤหาสน์เพื่อรวบรวมเบาะแส ระหว่างนั้นคนร้ายมีการอัดเสียงเอซากิ ทางครอบครัวประธานกูลิโกะก็มีการร้องขอต่อรองเรื่องค่าไถ่ เพราะปริมาณเงินและน้ำหนักทองคำ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรวบรวมมาได้ โดยจดหมายที่ถูกส่งมาจากคนร้ายนั้น บางทีก็มีเนื้อหาเขย่าขวัญและเยาะเย้ยการทำงานเจ้าหน้าที่ด้วย
ผู้ก่อเหตุเรียกตัวเองว่า ปีศาจ 21 หน้า ที่เชื่อว่าอ้างอิงมาจากงานเขียน จอมโจรยี่สิบหน้า (The Fiend with Twenty Faces) ของ เอโดงาวะ รัมโป ตำนานนักเขียนอาชญากรรมลึกลับที่โด่งดังของญี่ปุ่น มันได้กลายเป็นชื่อที่เรียกขานกลุ่มคนร้ายจนถึงทุกวันนี้
เจ้าหน้าที่และครอบครัววางแผนและเฝ้ารอ หวังจะช่วยชีวิตประธานบริษัทกูลิโกะมาให้ได้
อย่างไรก็ดีเพียงแค่ 65 ชั่วโมง หลังการพาตัว เอซากิก็หนีรอดมาได้ เหมือนทุกอย่างจะโล่งอก แต่ความพิศวงของเรื่องนี้ยังดำเนินต่อไป
3.
เอซากิถูกพาตัวไปขังในโกดังที่โอซากา เขาถูกมัด มีคนเฝ้า ถูกบังคับให้พูดอัดเสียง และสถานที่ซึ่งเขาถูกมัดนั้น มันมืด ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทางออกอยู่ตรงไหน ไร้ซึ่งแสงสว่าง โดยคนร้ายสามคนใส่หน้ากากปกปิดใบหน้าคุยกับประธานบริษัทกูลิโกะ โดยหลอกว่า พวกเขาได้ลักพาตัวลูกสาวเขามาด้วย
“หากคิดหนี เราจะฆ่าลูกคุณแทน”
ขณะนั้นตำรวจระดมกำลัง ทั้งเฮลิคอปเตอร์บินไล่ล่า แทบจะปิดเมืองตรวจสอบหาเอซากิ จุดนี้อาจทำให้เหล่าคนร้ายทั้งสามคนหวาดกลัว และอยู่ดีๆ พวกเขาก็ทิ้งโกดังแห่งนี้ไป ทิ้งเอซากิอยู่กับความมืด โดยก่อนหน้านั้นคนร้ายได้แก้มัดเอซากิ จากมัดไพล่หลัง ให้มามัดมือที่ด้านหน้าแทน
วันที่ 21 มีนาคม เอซากิแก้มัดสำเร็จ เขาลองขยับตัวเองไปมา เพื่อดูว่ามีใครอยู่ในที่กักขังหรือไม่ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใคร เขาก็งมทุกอย่างในความมืดไปเรื่อยๆ ใช้เวลาสักพัก เดินเตะข้าวของหลายอย่าง จนไปพบประตู เมื่อเลื่อนเปิดออก ก็พบแสงไฟ จึงหนีออกมา เดินไปตามรางรถไฟ แจ้งเจ้าหน้าที่ ซึ่งตอนแรกคิดว่าเขาเป็นคนติดยา จนเมื่อบอกว่าเป็นใคร จึงมีการพาตัวเขาไปโทรศัพท์แจ้งตำรวจโตเกียว
ทีแรกเจ้าหน้าที่คิดว่าเป็นการอำเล่น ต้องใช้เวลาสักพักจึงแน่ใจว่านี่คือประธานบริษัทกูลิโกะตัวจริง พวกเขาส่งรถไปรับ พาตัวสอบปากคำ ท่ามกลางความโล่งอกของครอบครัว โดยเมื่อถูกพาตัวมายังโตเกียว เอซากิจึงรู้ว่า ลูกของเขาทั้งสามคน ไม่มีใครถูกจับกุมตัวไป วายร้ายแค่ลักไก่เท่านั้น
จุดนี้ตำรวจเริ่มดำเนินการสืบสวนขยายผลหาตัวผู้ลักพาตัวทันที แต่ตอนแรก พวกเขาต้องมานั่งเถียงกันถึงขอบเขตอำนาจการสอบสวนก่อนว่า จะให้ตำรวจจากโตเกียวหรือโอซากาทำคดีนี้
จากการสอบปากคำเอซากิ และสอบสวนพยานพวกเขาพบว่า คนร้ายทั้งสามคนมีรูปลักษณ์ดังนี้
ผู้ต้องหารายแรก สูงประมาณ 170 เซนติเมตร อายุประมาณ 40 ปี เสียงทุ้ม คาดว่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม ถือปืนไรเฟิลที่คาดว่าเป็นของปลอม ผู้ต้องหารายที่ 2 ถือปืนสั้น สูงประมาณ 160 เซนติเมตร ร่างสันทัด อายุประมาณ 34 ปี และเพราะไม่ได้คาดตาและปิดปาก ทำให้เขามีรูปลักษณ์เหมือนดาราชายญี่ปุ่นคนหนึ่ง ส่วนผู้ต้องหารายสุดท้าย เป็นคนขับรถเก๋งสีแดง สูงประมาณ 165 เซนติเมตร อายุประมาณ 20 ปี
ทั้งสามคน ใส่หน้ากาก ใส่ถุงมือ แต่งกายมิดชิด ทำให้เอซากิไม่อาจรู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ยังไม่นับว่าในโกดังที่ถูกขังนั้นก็มืดอยู่มาก จึงให้ข้อมูลได้ไม่เยอะ
เจ้าหน้าที่หวังจับกุมตัวคนร้ายได้ แต่ดูเหมือนวิบากกรรมและปริศนาคดีนี้ยังไม่จบสิ้น
นี่แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
4.
สามสัปดาห์หลังการลักพาตัวเอซากิ รถของบริษัทที่จอดอยู่หน้าสำนักงานใหญ่ของกูลิโกะ ก็เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นอย่างปริศนา ก่อนจะมีจดหมายปีศาจ 21 หน้าส่งมาเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริง พวกเขาไม่ได้หวังเงินลักค่าไถ่ แต่ต้องการเปิดเผยอันตรายของขนมที่กูลิโกะผลิตว่ามีอันตรายต่อเด็ก ๆ
จดหมายฉบับต่อมา ส่งมาเพื่อบอกว่ามีการใส่สารไซยาไนด์ลงไปในขนมของกูลิโกะ เรื่องนี้สร้างหายนะให้กับบริษัทอย่างมาก เพราะทำให้ทางการต้องตรวจสอบขนมกูลิโกะทั่วประเทศ ตัวเจ้าของผลิตภัณฑ์ก็ต้องสั่งเก็บสินค้าทั้งหมด เกิดความเสียหายกว่า 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หุ้นที่เคยตกตอนประธานถูกลักพาตัว คราวนี้ยิ่งตกหนักไปอีก จนต่อมาต้องปลดคนงานหลายร้อยคนออกไป
อย่างไรก็ดีเมื่อเวลาผ่านไป ทางการพบว่าไม่มีการใส่สารไซยาไนต์ลงในขนมของกูลิโกะแม้แต่ชิ้นเดียว อย่างไรก็ดีความเสียหายเกิดต่อกูลิโกะแล้ว
เดือนมิถุนายน ดูเหมือนตำรวจจะต้องเจอกับความเขย่าขวัญของปีศาจ 21 หน้าอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาพุ่งเป้าบริษัทผลิตขนมคู่แข่งกูลิโกะแทน โดยให้เหตุผลว่า เด็กในกลุ่มเสียใจที่ไม่มีขนมกูลิโกะตามท้องตลาด
“เด็กสี่ขวบ ซึ่งอยู่ในกลุ่มพวกเราร้องไห้ทุกวัน เพราะไม่ได้กินขนมกูลิโกะที่เขารัก”
คราวนี้พวกเขาเปิดโปงว่าบริษัทผลิตขนมเหล่านี้ก่อสารพิษในตัวเด็ก และย้ำว่าพวกเขาจะใส่สารไซยาไนด์ในผลิตภัณฑ์คู่แข่งกูลิโกะอีกครั้ง โดยยังเรียกเงินค่าไถ่จำนวน 4 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วย ทีแรกบริษัทที่ถูกข่มขู่ไม่สนใจจะจ่าย
แต่เมื่อจดหมายข่มขู่ปรากฏออกไป มันก็เกิดความโกลาหลในร้านค้าและวงการขนมอย่างมาก ผลิตภัณฑ์ถูกเก็บ หากยังวางจำหน่ายอยู่ ก็ไม่มีใครซื้อ เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง
แถมคราวนี้กลุ่มคนร้ายก่อเหตุจริง พวกเขานำขนมที่ปนเปื้อนสารไซยาไนด์มาวางในชั้นขายของ โดยระบุว่า ขนมกล่องนี้ ปนเปื้อนสารพิษจริง ระบุข้อความว่า คุณตายแน่ ถ้าได้กินมัน ลงชื่อ ปีศาจ 21 หน้า
บริษัทผลิตขนมจำนวนมากต่างถูกข่มขู่ รวมถึงองค์การอาหารและยาของญี่ปุ่น มีการเรียกค่าไถ่ โดยระบุวิธีการจ่ายเงิน โดยการนั่งรถไฟ แล้วโยนเงินไปตามจุด ซึ่งตรงนี้ ทางตำรวจที่ปลอมตัวเป็นพนักงานบริษัทซึ่งต้องนำเงินไปมอบให้ ได้เจอผู้ต้องสงสัยรายหนึ่ง ขณะที่วงจรปิดก็จับภาพชายที่นำขนมปนเปื้อนไปวางบนชั้นขนม แต่ไม่เห็นหน้า
ส่วนชายบนรถไฟนั้น ถูกตำรวจไล่สะกดรอยตามถึงสองครั้ง ระหว่างการเรียกค่าไถ่ แต่ก็จับกุมตัวไม่ได้ ตำรวจสเก็ตช์ภาพออกมาได้ โดยดวงตาของชายคนนี้ มีแววตาคล้ายกับสุนัขจิ้งจอกอย่างมาก
แต่แม้จะเผยแพร่ภาพออกไป ก็ไม่มีเบาะแสใดๆ หรือไม่มีตำรวจคนใดจับกุมคนร้ายตัวจริงได้เลย ทุกอย่างยังคงเป็นปริศนา ท่ามกลางแรงกดดันของพ่อแม่ญี่ปุ่นที่บีบให้เจ้าหน้าที่ล่าตัวกลุ่มคนร้ายที่ข่มขู่เรื่องสารพิษในขนม เพราะมันเป็นอันตรายอย่างมากต่อบุตรหลานของพวกเขา
แรงกดดันมหาศาลกดทับลงต่อเนื่องบนบ่าของตำรวจ
5.
ก่อนการลักพาตัวเอซากิ ประมาณ 2-3 เดือน มีเหตุการณ์ลักพาตัวเจ้าของเบียร์ไฮเนเก้น ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ทีแรกตำรวจญี่ปุ่นสงสัยว่าผู้ก่อเหตุจะเป็นคนต่างชาติหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีการก่ออาชญากรรมต่ำมาก และที่สำคัญ ในเวลานั้นกรมตำรวจเวลามีสถิติการไขคดีได้สูงถึง 97% เลยทีเดียว
นั่นหมายความว่าคดีส่วนใหญ่ ตำรวจไขได้หมด ยกเว้นคดีปีศาจ 21 หน้า ที่ยิ่งสืบก็ยิ่งพบแต่คำถาม ไร้ซึ่งคำตอบ นอกจากผู้ปกครองแล้ว บริษัททำขนมก็กดดันเจ้าหน้าที่ เพราะการปล่อยให้คนร้ายข่มขู่ เอาขนมปนเปื้อนมาวางบนชั้นนั้น ทำให้ยอดขายขนมตกลงอย่างมาก ซึ่งในทางธุรกิจเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
ความกดดันทั้งหมดถาโถมใส่ตำรวจ นั่นทำให้ในวันที่ 7 สิงหาคม ปี ค.ศ.1985 ผู้กำกับการโรงพักที่เป็นหัวหน้างานไล่ล่าปีศาจ 21 หน้าได้ตัดสินใจจุดไฟเผาตัวเองในสวนหลังบ้านพักเพื่อจบชีวิต สร้างความตื่นตะลึงให้กับสังคมอย่างมาก
และนั่นทำให้ปีศาจ 21 หน้าต้องออกโรงอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาส่งจดหมายมาหาตำรวจอีกครา และเพราะความตายอันน่าเศร้าของผู้กำกับโรงพัก ทำให้พวกเขาขอหยุดการข่มขู่ไว้เพียงเท่านี้ หากมีใครหน้าไหนอ้างเรื่องการวางยาพิษในขนม เรียกค่าไถ่จากบริษัททำขนมอีกในอนาคต ถือว่าเป็นตัวปลอม
จากนั้นปีศาจตัวนี้ ก็หายไปจากการรับรู้ของทางการและสังคมญี่ปุ่นตลอดกาล ทิ้งไว้เพียงปริศนาดำมืด ไร้ซึ่งความกระจ่างว่า ใครคือวายร้ายกลุ่มนี้กันแน่
6.
ช่วงการไล่ล่าปีศาจ 21 หน้านั้น ตำรวจญี่ปุ่นระดมกำลังถึง 1 ล้านนายในการสืบสวน พวกเขามีผู้สงสัย 1.25 แสนราย ทั้งยากูซ่า พนักงานกูลิโกะที่ถูกไล่ออก ผู้บริหารของบริษัท การสืบสวนถึงขั้นขยายวงไปว่า อาจเป็นสายลับเกาหลีเหนือก่อเหตุ แม้กระทั่งตัวประธานบริษัทเอซากิเองก็ตกหางเลขเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจัดฉากลักพาตัว เพื่อจะข่มขู่บริษัทคู่แข่งอื่นๆ ให้ได้รับความเสียหายในเวลาต่อมาหรือไม่
แต่สุดท้ายก็มีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีการจับกุมคนร้ายตัวจริงได้ แม้จะระดมเจ้าหน้าที่เยอะขนาดนี้ แม้จะเป็นหน่วยงานที่ไขคดีได้เกือบ 100% แต่พวกเขาก็ล้มเหลวในการล่าตัวปีศาจแห่งปริศนารายนี้ จนคดีหมดอายุความ ก็ไม่มีใครรู้ว่าผู้ก่อเหตุเป็นใคร มีเพียงเรื่องเล่าและการคาดการณ์เท่านั้น
ทุกอย่างจึงเป็นปริศนาจวบจนปัจจุบัน เหลือไว้เพียงคำพูดสุดลือลั่นของปีศาจ 21 หน้าที่บอกกับตำรวจและสังคมญี่ปุ่นว่า
“พวกเราเป็นคนเลว ที่ทำได้มากกว่าการข่มขู่บริษัทเหล่านี้ พวกเราทำได้เยอะกว่านั้น เพราะมันสนุกที่ได้คุกคามชีวิตคนเหี้ยๆ พวกนี้”
อ้างอิงข้อมูลจาก