1.
“พระเจ้าช่วย หมาดิงโก้ คาบลูกฉันไป”
เสียงตะโกนก้องของลินดี้ แชมเบอร์เลน (Lindy Chamberlain) ณ สถานที่ตั้งแคมป์ ตอนเหนือของออสเตรเลีย ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ.1980 ก่อกำเนิดคดีดังระดับชาติในทันที
ครอบครัวแชมเบอร์เลนเดินทางไปตั้งแคมป์ สามี ไมเคิลเป็นบาทหลวงได้ขับรถพาลินดี้และลูก 3 คนไป โดยลูกคนเล็กสุด อายุเพียง 10 สัปดาห์ – ด.ญ.อาซาเรีย (Azaria)
พวกเขากางเต้นท์ บนสถานที่ท่องเที่ยวสุดโด่งดังของออสเตรเลีย ขณะปีนเขาท่องถ้ำ ลินดี้สังเกตเห็นสุนัขดิงโก้ ซึ่งเป็นสุนัขป่าในย่านนั้น มองมาที่ครอบครัวเธอ ความรู้สึกของคนเป็นแม่ขนลุกพอง สังหรณ์ใจว่า พวกมันกำลังจ้องลูกๆ ของเธอ
คืนนั้นพวกเขาสนุกสนานกับการตั้งแคมป์ชมธรรมชาติร่วมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ลูก 2 คนนอนอีกเต็นท์ ลินดี้กับสามีและหนูน้อยอาซาเรียนอนอีกเต็นท์ เช้ามา หญิงสาวไปทิ้งขยะ และกำลังจะจัดเตียงใหม่ให้ลูกสาวคนเล็ก เธอฝากอาซาเรียไปนอนอีกเต็นท์ ในเสี้ยววินาทีที่กำลังจัดเตียง เธอก็ได้ยินเสียงลูกสาวคนเล็กร้องออกมา
นับตั้งแต่วินาทีนั้น ลินดี้ไม่มีโอกาสได้พบอาซาเรียอีกต่อไป
2.
สุนัขดิงโก้เป็นหมาป่าที่มีลักษณะคล้ายหมาบ้านเป็นอย่างยิ่ง หลายครั้งมันชอบลอบโจมตีสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ สร้างความเสียหายให้กับปศุสัตว์ของเกษตรกรออสเตรเลียแล้วหลบหนีไป คำว่า ดิงโก้ ยังเป็นศัพท์แสลงใช้เรียกคนขี้ขลาดอีกด้วย
ลินดี้เผยว่า สุนัขดิงโก้มาด้อมๆ มองเต็นท์ที่พักเธอก่อนอาซาเรียจะหายไป คาดว่ามันตามอาหารที่ลูกชายคนรองทิ้งไว้ ตอนนั้นลินดี้บอกว่าอย่าล่อให้พวกมันมา เพราะจะไปคุ้ยอาหารสร้างความเดือดร้อน
แต่ไม่มีใครคิดว่าดิงโก้จะคาบลูกคนเล็กเธอไป
หลังเกิดเหตุการหายตัวไปของอาซาเรีย มันกลายเป็นข่าวใหญ่ในออสเตรเลีย เพราะดิงโก้ไม่ใช่สุนัขที่โจมตีมนุษย์ มันขี้ขลาดและชอบป่วนสัตว์ด้วยกันเองมากกว่า อีกทั้งรายงานรับแจ้งคนถูกดิงโก้ทำร้ายก็มีน้อยมาก
เจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่เกิดเหตุทันที เจ้าหน้าที่หลายฝ่ายค้นพื้นที่โดยรอบ แต่ไม่มีใครพบตัวหนูน้อยอาซาเรียอีกเลย
ชุดสืบสวนตรวจจุดเกิดเหตุรอบเต็นท์ พวกเขาพบรอยเลือดที่หน้าทางเข้าเต็นท์ โดยระหว่างการค้นหานั้น ไมเคิลได้พูดออกมาอย่างสิ้นหวังว่า บางทีลูกสาวคนเล็กอาจตายไปแล้วก็เป็นได้
นักสืบ 4 คนถูกแต่งตั้งสืบหาเบาะแสนี้ เจ้าหน้าที่ทั้ง 4 เป็นคนในพื้นที่ ตำรวจไม่พบเสื้อผ้าของหนูน้อยอาซาเรียรอบจุดเกิดเหตุ
“เป็นไปไม่ได้ที่ดิงโก้จะทำร้ายคน”
ข้อสงสัยของนักสืบปรากฎขึ้น พวกเขายืนยันว่าสุนัขพวกนี้ ไม่สามารถลากร่างที่หนัก อย่างเด็กทารกไปได้แน่ และหากดิงโก้คาบเด็กไปไม่ได้ คำพูดของลินดี้ก็จะเป็นเรื่องโกหก
แล้วเธอโกหกไปทำไม
ผ่านไปหลายวัน เมื่อไม่เจอร่องรอยของเด็ก ตำรวจก็หันไปกลับมาพิจารณาคดีใหม่ พวกเขาเจอเศษชิ้นส่วนเสื้อผ้าของเด็กทารกถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ยิ่งเมื่อตำรวจไม่สนใจทฤษฎีดิงโก้คาบเด็กไป พวกเขาจึงเบนเข็มไปหาครอบครัวแชมเบอร์เลนแทน
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพยังพูดออกมาว่า ชื่อของอาซาเรียแปลว่าการเสียสละแด่ความดิบเถื่อน ซึ่งเป็นการแปลที่มั่ว แต่ตำรวจเริ่มสนใจ พวกเขาเริ่มตั้งทฤษฎีของตัวเองขึ้นมา
นักสืบนำตัวอย่างดีเอ็นเอ เสื้อผ้าผมของลินดี้ไปตรวจ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานใช้น้ำยาตรวจไปที่รถซึ่งครอบครัวแชมเบอร์เลนใช้เดินทางไปแคมป์ ก่อนจะพบว่ามีรอยเลือดติดอยู่ในนั้น
สื่อมวลชนเป็นปัจจัยสำคัญ พอพวกเขาได้เบาะแสเรื่องชื่ออาซาเรียขึ้นมา ก็โบกสะบัดเชื้อไฟขายข่าวเติมแต่งว่า ครอบครัวแชมเบอร์เลนฆ่าลูกสาวเพื่อประกอบพิธีทางศาสนาบางอย่าง มีความเป็นไปได้ว่าลินดี้จะเป็นแม่มดจับลูกบูชายัญ
เรื่องราวนี้อาจดูตลกและไม่น่าเชื่อ แต่ในช่วงเวลานั้นออสเตรเลียเพิ่งผ่านการฆ่าตัวตายหมู่จากความเชื่อทางศาสนามาไม่กี่ปี แถมเจ้าหน้าที่ไม่สนใจเรื่องดิงโก้คาบลูก ทุกอย่างจึงเบนเป้าไปสู่ครอบครัวแชมเบอร์เลนมากกว่าเดิม ยิ่งเรื่องเล่าของพวกเขาไม่สอดรับกับเบาะแสที่ตำรวจได้รับมา
ดังนั้นบางทีโบสถ์ที่ไมเคิลเป็นนักบวชอาจจับลูกสาวคนเล็กบูชายัญเพื่อชดใช้บาปตามความเชื่อทางศาสนาก็เป็นได้
แต่จุดใหญ่ที่สังคมออสเตรเลียสงสัยลินดี้อย่างมาก นั่นก็คือตอนพวกเธอไปออกรายการโทรทัศน์ พ่อแม่ที่ลูกหายตัวไป กลับไม่มีอาการเศร้าโศกเสียใจเลย มันขัดกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาควรจะร่ำไห้มากกว่านี้ ควรจะอาลัยต่อการหายตัวไปของลูกสาววัยแบเบาะมากกว่าปกติสิ
อคติเหล่านี้เองที่แปรเปลี่ยน
ภาพลักษณ์ของลินดี้ จากแม่ที่ลูกสูญหาย
กลายเป็นฆาตกรที่ฆ่าลูกตัวเองไปเสียได้
3.
ตำรวจตั้งทฤษฎีว่าลินดี้อาจจะฆ่าลูกตัวเอง โดยก่อเหตุบนรถ เพราะมีการพบคราบเลือด โดยใช้กรรไกรเป็นอาวุธสังหาร จากนั้นก็อำพรางคดี เอาศพไปฝัง เอาเสื้อผ้าเด็กไปทิ้ง ณ จุดตั้งแคมป์ โดยกลบเกลื่อนว่าดิงโก้คาบเด็กไป จากนั้นจึงแต่งเรื่องขึ้นว่าเด็กหายตัวไป ส่วนที่พาทารกชมป่าเข้าถ้ำด้วยนั้น เป็นเพียงการอำพราง พวกเขาเอาอะไรมายัดใส่เสื้อผ้าให้ดูเหมือนเป็นเด็ก แต่จริงๆ หนูน้อยอาซาเรียตายไปนานแล้ว
นักสืบเพิกเฉยหลักฐานจากพยานที่ตั้งแคมป์จุดเดียวกับครอบครัวแชมเบอร์เลน พวกเขายืนยันว่าได้ยินเสียงดิงโก้หอน แถมพบรอยเท้าของสุนัขป่าใกล้กับเต็นท์ที่อาซาเรียนอนหลับก่อนหายตัวไปด้วย
ตำรวจกับอัยการสรุปทฤษฎีและแจ้งข้อหาแก่ลินดี้ว่าฆาตกรรมลูกตัวเอง โดยมีไมเคิลเป็นผู้ช่วยเหลือการฆ่า พ่อแม่ของอาซาเรียกลายเป็นฆาตกรผู้ต้องหาไปได้ เมื่อขึ้นศาล อัยการชี้ให้เห็นว่าเสื้อผ้าที่พบในจุดเกิดเหตุ ไม่มีความเชื่อมโยงกับการคาบของดิงโก้ แต่เกิดจากการถอดออกของมนุษย์เอง หลักฐานพุ่งเป้าว่าดิงโก้ไม่ได้คาบเด็กไป แต่ลินดี้ต่างหากที่ฆ่าลูกสาวคนเล็กอายุไม่ถึง 10 สัปดาห์
คดีนี้ ตำรวจไม่มีแม้กระทั่งแรงจูงใจว่าลินดี้ฆ่าลูกตัวเองทำไม ไม่มีแม้กระทั่งพยาน พวกเขาตรวจหลักฐานจากบ้านของลินดี้ ยึดกรรไกร แล้วกล่าวถึงคราบเลือดที่พบในรถ จุดนี้เองที่โน้มน้าวใจลูกขุนให้เชื่อว่าลินดี้คือฆาตกร แม้หลักฐานหลายอย่างจะคลุมเครือไม่ชัดเจน
เจ้าหน้าที่สรุปว่าลินดี้ใช้กรรไกรปาดคอลูกสาว ก่อนจะหั่นศพ เอาไปทิ้งอำพรางที่จุดตั้งแคมป์ แล้วแต่งเรื่องว่าสุนัขดิงโก้มาคาบลูก สถานที่เกิดเหตุคือรถที่ทั้งสองขับพาครอบครัวไปเที่ยวนั่นเอง เพราะเจอคราบเลือดที่มีการเช็ด แต่เจ้าหน้าที่ใช้น้ำยาตรวจสอบพบ
อัยการไม่สามารถระบุได้ว่าลินดี้ฆ่าลูกไปทำไม แม้สังคมจะบอกว่าเธอฆ่าลูกบูชายัญ แต่มันเอามาใช้ในการพิจารณาคดีไม่ได้ เจ้าหน้าที่โน้มน้าวให้ลูกขุนเห็นว่าลินดี้ไม่ได้เศร้าต่อการตายของลูกเลย นั่นแสดงถึงความเลือดเย็นของฆาตกรรายนี้เป็นอย่างยิ่ง
ในที่สุดคำพิพากษาก็เกิดขึ้น ลินดี้ซึ่งยืนกรานปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นฆาตกรฆ่าลูก ถูกศาลตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต ส่วนไมเคิลถูกตัดสินให้จำคุก 18 เดือนด้วย เพราะเชื่อว่าได้ช่วยภรรยาลงมืออำพรางศพ แต่ได้รับการประกันตัวออกมาสู้คดี
คำตัดสินก่อเกิดความแตกแยกและเกิดการโต้เถียงไปทั่วออสเตรเลีย มีคนเชื่อว่าลินดี้ฆ่าลูกจริง และมีอีกส่วนเชื่อว่าไม่จริง ดิงโก้ต่างหากที่คาบอาซาเรียไป
ลูกขุนคนหนึ่งเผยว่า คดีนี้ สุดท้ายมันคือการต่อสู้เพียงว่าอาซาเรียถูกดิงโก้คาบลูกไปจริงหรือไม่เท่านั้น
ช่วงเวลาติดคุกนั้น ลินดี้คลอดลูกสาวอีกคนออกมา มีการอุทธรณ์คดีจนไปถึงศาลฏีกา แต่คำตัดสินปฏิเสธจะกลับคำพิพากษของศาลชั้นต้น ปี1982 ลินดี้ติดคุก 2 ปีหลังจากลูกสาวหายตัวไป 2 ปีที่ตำรวจไม่เชื่อคำให้การ 2 ปีที่สื่อละเลงว่าเธอคือปีศาจร้าย
บทลงทัณฑ์เริ่มต้นขึ้นแก่ลินดี้และครอบครัวแชมเบอร์เลนเสียแล้ว
4.
ปี ค.ศ.1986 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษรายหนึ่งไปปีนเขาที่จุดเกิดเหตุหนูน้อยอาซาเรียหายตัวไป แล้วพลัดตกลงมาเสียชีวิต เจ้าหน้าที่เข้าค้นหาร่าง และจุดที่พบ พวกเขาเจอแจ็คเก็ตทารก ตรงกับที่ลินดี้ให้การว่าลูกของเธอสวมใส่แจ็คเก็ตขณะถูกสุนัขคาบออกไป
เจ้าหน้าที่พบว่าจุดที่พบแจ็คเก็ตนี้ เป็นรังของสุนัขดิงโก้
ความตายของคนคนหนึ่งกลับจุดไฟสว่าง
ให้กับความจริงของอีกความตายหนึ่งทันที
หลักฐานนี้นำไปสู่การพลิกคดีใหม่ในทันที เจ้าหน้าที่รื้อฟื้นงานสืบสวน ก่อนจะปล่อยตัวลินดี้ออกจากคุกเพราะเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะฆ่าลูก อย่างไรก็ดีทางการก็ยังไม่ได้สรุปว่าอาซาเรียหายตัวไปเพราะอะไรกันแน่
การหักล้างคำพิพากษาของเจ้าหน้าที่ เริ่มจากคราบเลือดที่พบในรถ พวกเขาพบว่าน้ำยาที่ตรวจหาร่องรอยเลือดนั้นเชื่อไม่ได้ ไม่มีประสิทธิภาพ และที่คิดว่าเป็นเลือดนั้น จริงๆ มันคือนมต่างหาก และที่บอกว่าเสื้อผ้าของอาซาเรียบางส่วนเจอคราบเลือด เมื่อมาตรวจอีกรอบ ก็พบว่ามันไม่ใช่เลือดแต่อย่างใด
นี่ยังไม่นับเรื่องฆ่าคนบูชายัญ ซึ่งเป็นเรื่องหลอกลวงมั่วสุดๆ ว่ากันว่าที่เรื่องนี้มันตรึงใจให้คนเชื่อได้เพราะไมเคิล เป็นบาทหลวงในนิกายคริสตศาสนาใหม่ ที่ไม่มีใครคุ้น ก็เลยคิดไปเองว่าเป็นลัทธิประหลาด
ประเด็นที่สังคมสนใจมากขึ้นคือ สุนัขป่าดิงโก้นั้น ทำร้ายคนได้หรือไม่ ในที่สุดก็มีการตรวจสอบพบว่า คนออสเตรเลียมีอคติเลือกจะเชื่อว่าแม่ฆ่าลูกมากกว่าจะบอกว่าดิงโก้คาบทารกได้ เพราะมันจะทำให้สังคมดูอ่อนแอที่จะยอมรับว่าสุนัขกระจอกๆ เหล่านี้สามารถกระทำการอุกอาจเป็นภัยต่อมนุษย์ได้ มันขัดวาทกรรมความเชื่อมายาวนานของสังคม
ด้วยเหตุนี้คนออสเตรเลียจึงเลือกไม่สนใจดิงโก้ ทั้งที่มีหลักฐานชี้ชัดว่ามันทำร้ายมนุษย์ได้ ในเวลาต่อมามีรายงานถึงพ่อคนหนึ่งที่บุกไปช่วยลูกสาวที่ถูกดิงโก้รุมลาก นอกจากนี้มีรายงานเด็ก 9 ขวบถูกดิงโก้รุมกัดตาย โดยในช่วงที่อาซาเรียหายตัวไป มีรายงานพบดิงโก้ทำร้ายคนในช่วงเวลานั้นถึง 11 ครั้งด้วยกัน
ตำรวจและชุดสืบสวนมีอคติในการทำงาน พวกเขาไม่เชื่อเรื่องดิงโก้ฆ่าคนได้ จนกลายเป็นประเด็นหลักนำในการสืบสวน ต่อมาพวกเขาพบว่าลินดี้ ไม่เหมือนคนทั่วไป แตกต่างจากคนอื่น และเมื่อเห็นเธอไม่เศร้าทุรนทุรายต่อการหายตัวไปของลูก ยิ่งทำให้พวกเขามีอคติ และเชื่อว่าเธอฆ่าลูก จนเอาหลักฐานมาหนุนความเชื่อของพวกเขา แทนที่จะเอาหลักฐานมาก่อรูปสร้างความจริง
พวกเขาถึงขนาดเชื่อว่าลินดี้ฆ่าลูกสาวคนเล็ก ทั้งๆ ที่ครอบครัวแชมเบอร์เลนพาลูกอีก 2 คนไปเที่ยวด้วย
5.
ปี ค.ศ.2012 หากอาซาเรียยังมีชีวิตอยู่ เธอจะอายุ 32 ปี แต่เพราะเธอสูญหายไป หนูน้อยจึงมีอายุหยุดอยู่ที่ 10 สัปดาห์เท่านั้น ความสำคัญของปีนี้ก็คือ เจ้าหน้าที่ชันสูตรออกมาสรุปว่าอาซาเรียเสียชีวิตจากการถูกดิงโก้คาบออกไป และลินดี้กับไมเคิล ก็ถูกหักล้างความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ หลังพยายามต่อสู้มาหลายสิบปี
แม้ทั้งสองจะถูกปล่อยตัวออกมา แต่ความผิดที่ถูกศาลตัดสินยังคงเป็นตราบาปในชีวิต พวกเขาต้องรอจนทางการสรุปฟันธงการเสียชีวิตของอาซาเรีย ความบริสุทธิ์จึงผุดผ่องขึ้นอีกครั้งในครอบครัวแชมเบอร์เลน มีการจ่ายเงินชดใช้ความเสียหายที่พวกเขาเผชิญ เป็นค่าไถ่โทษจากความยุติธรรมที่บิดเบี้ยว
“ถึงคุณและคุณนายแชมเบอร์เลนและบุคคลในครอบครัวทุกคน โปรดยอมรับความเสียใจจากทางการต่อการเสียชีวิตของอาซาเรีย ลูกสาวอันเป็นที่รักของพวกคุณด้วย”
ในที่สุดภาครัฐก็แถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของอาซาเรียในที่สุด หลังจากเพิกเฉยมากว่า 32 ปี
ถึงวันนี้ไมเคิลเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนลินดี้ยังอยู่บนโลก อาศัยอยู่ในออสเตรเลีย สังคมที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยตราหน้าพวกเขาว่าเป็นฆาตกรฆ่าลูกตัวเอง จากผู้สูญเสีย พวกเขากลายเป็นผู้ต้องหา นักโทษ แม่มด ปีศาจ
กว่าจะได้กลับมาเป็นผู้สูญเสียที่ลูกตายอีกครั้ง มันก็ใช้เวลานานเหลือเกิน ก่อนตายไมเคิลได้พูดออกมาว่าในที่สุดความจริงก็กระจ่างแจ้งเสียที ต่อไปนี้หวังว่าจะเป็นช่วงเวลาแห่งการเยียวยา และเป็นโอกาสที่ดวงวิญญาณลูกสาวของเราจะได้สู่สุขคติเสียที
“มันอาจใช้เวลานานไปสักหน่อย แต่ผมขอใช้โอกาสนี้บอกคุณทุกคนว่า ความยุติธรรมนั้นมีอยู่จริง แม้ในช่วงเวลาที่คุณคิดว่ามันจะไม่มีจริงก็ตาม”
ข้อมูลอ้างอิง
The Crime Book สำนักพิมพ์ DK หน้า238-239