เมื่อเดือนก่อน ผมได้มีโอกาสไปเมืองๆ หนึ่งในญี่ปุ่น ที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ไปสัมผัส เพราะไม่รู้จะไปทำอะไร แต่พอได้ไปแล้ว ก็กลับทึ่งกับสองสิ่งที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ที่เมืองพยายามโปรโมทอย่างเร่าร้อน จนผู้มาเยือนหน้าใหม่อย่างผมยังสัมผัสได้ และทำให้รู้เลยว่า มะจิโอโคชิ หรือการปลุกเมือง แบบญี่ปุ่น ที่หน่วยงานท้องถิ่นพยายามสู้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของเมืองมันมีพลังขนาดไหนถ้าหากทำได้ถูกและฉลาด เมืองที่ว่านั่นคือ อุซึโนะมิยะ ในจังหวัด โทะจิกิ นั่นเอง
สำหรับคนทั่วไปและอาจจะรวมถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยด้วย เวลาพูดถึงจังหวัดโทจิกิแล้ว ส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงเมืองนิคโคเป็นหลัก เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดนี้ จากการที่มีศาลเจ้าชื่อดังที่งดงาม ซึ่งเป็นผลงานของตระกูลโตกุกาวะประจำอยู่ และด้วยระยะที่ไม่ไกลจากโตเกียวมากทำให้มักจะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนเสมอ
แต่กับเมืองอุซึโนมิยะที่เป็นเมืองหลวง ศูนย์กลางการปกครองของจังหวัดแล้ว กลับดูไม่มีจุดน่าสนใจอะไรมากนัก ขนาดที่ตัวคนในจังหวัดตัวเองก็มักจะไม่ค่อยภูมิใจในจังหวัดตัวเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในจังหวัดรอบๆ โตเกียว ทั้ง โทจิกิ กุนมะ และ อิบารากิ ที่ชาวเมืองมักจะรู้สึกด้อยกว่าชาวเมืองหลวงที่อยู่ไม่ห่างกัน แต่พอผมได้ไปเยือน ก็พบกับความพยายามของเมืองในการสร้างจุดขายของเมืองด้วยสองสิ่งก็คือ เกี๊ยวซ่า และ กีฬา ซึ่งทั้งสองอย่างก็ทำหน้าที่ต่างกันออกไป แต่ก็ช่วยกระตุ้นให้เมืองโดดเด่นขึ้นมาได้
ที่ผมไปเมืองนี้ ก็เพื่อไปทำสกู๊ปรายการแข่งจักรยาน Japan Cup รายการแข่งจักรยานที่จัดว่าระดับสูงสุดของญี่ปุ่น ตามการจัดลำดับคะแนนของ UCI หรือสมาคมจักรยานโลก ซึ่งก็เป็นงานแข่งจักรยานแบบวันเดียวที่เป็นที่ฮือฮาที่สุดในญี่ปุ่นแล้ว แต่ผมก็ได้แต่แอบคิดในใจเล็กๆ ว่า ทำไมต้องไปจัดที่นี่ตลอดทุกปี
แต่พอไปถึงเมืองนี้ สิ่งที่ทำให้ผมตกใจคือ ดูเหมือนชาวเมืองก็อินกับกีฬานอกกระแสประเภทนี้อยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อลงรถไฟที่สถานีก็พบว่า สถานีประดับประดาไปด้วยโฆษณาเกี่ยวกับงานแข่งขันจักรยาน รวมถึงงานแข่งจักรยานยนต์ที่แข่งในสุดสัปดาห์เดียวกัน แถมร้านของที่ระลึกตามสถานีรถไฟก็เอานักปั่นจักยานอาชีพทีม Utsunomiya Blitzen มาช่วยโปรโมทขายสินค้าประจำจังหวัด รวมถึงสินค้าของทีมก็กลายเป็นของที่ระลึกไปด้วย กลายเป็นว่าทีมจักรยานกลายเป็นจุดขายของตัวเมืองนี้ไปเลย
และเมื่อเดินออกจากสถานีเพื่อไปที่โรงแรม ก็พบว่า ข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายเกี๊ยวซ่าเต็มไปหมด หลายต่อหลายเจ้า แข่งกันด้วยเกี๊ยวซ่าสูตรของตัวเองอย่างสู้ไม่ถอย บางร้านก็มีมาสคอตน่าสนใจประจำอยู่หน้าร้าน บางร้านก็เอารูปดาราและรายการทีวีที่มาถ่ายทำขึ้นอวด บางร้านก็ไม่ต้องพูดมาก แค่มีแต่คิวรอกินอยู่หน้าร้านอย่างยาวนาน จากที่ปกติเรามักจะกินเกี๊ยวซ่าเป็นของแกล้มกับราเม็ง แต่ที่นี่เขาขายเกี๊ยวซ่าเป็นอาหารหลักเลย ชนิดที่บางร้านก็ไม่ได้ขายอย่างอื่นนอกจากเกี๊ยวซ่าและเครื่องดื่ม (อาจจะมีข้าวเสริมแค่นั้น) เล่นเอาเวลารับออเดอร์ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ น้ำ 1 ทอด 1 (เกี๊ยวน้ำและเกี๊ยวซ่าทอด) เท่านั้นเองก็รู้เรื่องกันแล้ว ซึ่งผมก็ได้ไปเลือกกินร้านสไตล์นี้ล่ะครับร้านนึง เห็นว่าขึ้นชื่อเหมือนกัน ทั้งร้านก็มีแค่เกี๊ยวซ่ากับข้าวและเบียร์เท่านั้น แถมราคาแสนถูก รสชาติอร่อยคุ้มค่ารอไม่นาน แต่กลับมาที่พักก็เล่นเอาสงสัยเหมือนกันว่า
ทำไมเกี๊ยวซ่าถึงได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเมืองและแข่งกันได้ฮาร์ดคอร์ขนาดนี้
พอไปไล่ค้นดู ก็เจอความน่าสนใจ คือเกี๊ยวซ่านี่เข้ามาในญี่ปุ่นนานแล้วล่ะครับ ในตำรายุคเอโดะก็มีการเขียนถึงการปรุงเกี๊ยวซ่าแล้ว แต่การที่อุซึโนมิยะกลายมาเป็นเมืองหลวงแห่งเกี๊ยวซ่าของญี่ปุ่นได้นี่ ก็มีที่มาที่ไปน่าสนใจมาก คือตอนสงครามโลกครั้งที่สอง หน่วยทหารที่ถูกเกณฑ์จากเมืองอุซึโนมิยะ ได้ไปประจำการที่แมนจูเรีย ซึ่งการไปใช้ชีวิตที่นั่นก็ทำให้พวกเขาได้ซึมซับอาหารท้องถิ่นอย่างเกี๊ยวซ่า และพอปลดประจำการกลับมาบ้าน ก็พบเรื่องน่าสนใจคือสภาพภูมิกาอากาศของเมืองอุซึโนมิยะที่อยู่ในตัวแผ่นดิน ไม่ได้ติดทะเล มีความคล้ายแมนจูเรีย แถมผลผลิตทางการเกษตรสำคัญก็คล้ายกัน นั่นคือ กุ้ยช่าย ซึ่งโทจิกิมักจะติดอันดับ 1 หรือ 2 ในแง่ปริมาณการผลิตโดยตลอด ซึ่งมันก็เป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำเกี๊ยวซ่า รวมถึงผักกาดอีกด้วย ทำให้พวกเหล่าทหารกลับมาก็สนุกกับการปรุงเกี๊ยวซ่ากินกันในฐานะอาหารราคาถูกแต่ได้สารอาหารครบถ้วน และต่อมาก็กลายมาเป็นธุรกิจ จนกลายมาเป็นสินค้าประจำเมืองไป เพราะแต่ละคนก็พัฒนารสชาติของตัวเองกันอย่างเต็มสูบ
แต่นั่นก็ไม่พอที่จะทำให้เกี๊ยวซ่ากลายเป็นภาพจำของคนทั่วไปได้ ในยุค 90s หน่วยงานท้องถิ่นเริ่มเห็นความสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ มะจิโอโคชิ นั่นเอง และก็เห็นว่า เกี๊ยวซ่ามีศักยภาพในการเป็นจุดขายสำคัญของเมือง เลยพยายมชูให้เมืองเป็นศูนย์กลางเกี๊ยวซ่าของญี่ปุ่น ซึ่งก็ไม่ได้ทำกันเล่นๆ ผลาญงบ จัดสัมมนา ให้วิทยากรมาเล่าประวัติตัวเองแล้วแต่งกลอนโชว์ (เอ๊ะ) แล้วฟินว่าได้ทำอะไรกันแล้ว พวกเขาเอาจริงเอาจังกว่านั้น เพราะไม่อย่างนั้น เมืองก็ล่ม แล้วจะอยู่กันอย่างไร (ตามประสาการปล่อยให้ท้องถิ่นปกครองตนเองครับ)
แนวทางของเขาก็คือการลงทุนทำรายการโทรทัศน์ เกี่ยวกับการสร้างชื่อให้เมืองด้วยเกี๊ยวซ่า แล้วลงทุนนำไปฉายทั่วประเทศ (ญี่ปุ่นเขาแบ่งสถานีโทรทัศน์ตามท้องถิ่น การทำรายการระดับประเทศต้องใช้เงินไม่น้อยครับ) ซึ่งก็ทำให้กลายเป็นภาพจำของชาวญี่ปุ่น ขนาดที่มีคนมาเที่ยวที่เมืองเพื่อกินเกี๊ยวซ่า และทางท้องถิ่นยังพยายามส่งเสริมต่อเรื่อยๆ ด้วยการออกไอเดียต่างๆ เช่นตั๋วรถบัสแบบนั่งเหมาหนึ่งวัน ที่มีคูปองส่วนลดกินเกี๊ยวซ่าได้ หรือการออกสารานุกกรมเกี๊ยวซ่าประจำเมือง ที่มีแต่รูปกับขนาดและน้ำหนักของเกี๊ยวซ่า ให้คนไปลองหากินดูเองแล้วเทียบว่าที่ได้กินของแต่ละร้านคือตัวไหน จะว่าไปก็คล้ายๆ กับการสะสมโปเกมอนนะครับ
นอกจากความพยายามของท้องถิ่นแล้ว ดูเหมือนชาวเมืองเองก็แอบพยายามด้วยไม่น้อย เพราะที่ผ่านมา อุซึโนมิยะ ก็เป็นอันดับหนึ่งเรื่องของรายจ่ายเฉลี่ยของครัวเรือนในการบริโภคเกี๊ยวซ่า แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่เสียอันดับหนึ่งให้กับโยโกฮาม่า 3 ปีติด (นั่นก็มีไชน่าทาวน์น่ะครับ) พอพลิกกลับมาเป็นที่หนึ่งได้สำเร็จก็กลายเป็นข่าวสำคัญของชาวเมืองที่สามารถกู้ชื่อ “ที่หนึ่งของญี่ปุ่น” กลับมาได้ จนพอรู้แบบนี้แล้วมองย้อนกลับไปตอนที่ผมไปเมืองนี้แล้วเจอแต่เกี๊ยวซ่า ก็ไม่แปลกใจอะไรล่ะครับ เพราะมันคือแบรนด์ของเมืองที่พวกเขาภูมิใจจริงๆ
และตามที่บอกไปก็คือ นอกจากเกี๊ยวซ่าแล้ว กีฬา ก็มีบทบาทมากในการปลุกเมือง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะลงทุนกับกีฬาที่มันแมสมากๆ อย่างเบสบอล หรือรองลงมาอย่างฟุตบอล เพราะเมืองนี้ไม่มีทีมเบสบอล ซึ่งก็อาจจะเป็นเรื่องดีเพราะมีโอกาสที่จะไปตัดทางโตของกีฬาชนิดอื่นได้ ส่วนทีมฟุตบอลของจังหวัด Tochigi Soccer Club ก็อยู่ระดับ J3 เท่านั้น เลยเป็นโอกาสของกีฬาระดับรองที่จะโดดเด่นในเมืองได้ ซึ่งที่เด่นสุดก็หนีไม่พ้น จักรยานถนน ตามที่ได้บอกไปนั่นล่ะครับ
เมืองอุซึโนมิยะ (จะเอาจริงๆ ก็จังหวัดโทชิกิ เพราะสถานที่แข่งอยู่เมืองติดกัน แต่ใช้อุซึโนะมิยะเป็นฐานหลัก) ได้เริ่มจัดการแข่งขัน Japan Cup มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 ซึ่งสาเหตุในการจัดก็น่าจะเป็นเพราะกระแสการที่ UCI เคยมาจัดแข่งจักรยานถนนชิงแชมป์โลกที่เมืองอุซึโนะมิยะในปี 1990 ก่อน และ Japan Cup ก็กลายเป็นงานแข่งจักรยานที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่นไป ด้วยความที่มีคะแนนสะสมของ UCI ให้ในระดับที่สูงกว่างานแข่งอื่นในญี่ปุ่น ทำให้มีทีมโปรจากระดับ World Tour หรือทีมกลุ่มสูงสุดในระดับโลก มาร่วมลงแข่งอย่างจริงจังอยู่เป็นประจำ ที่สำคัญคือ ช่วงเวลาในการจัดงานแข่งที่อยู่ในเดือนตุลาคมที่อากาศดีและงานแข่งจักรยานสำคัญๆ ของทางยุโรปเริ่มหมดลงแล้ว ทีมใหญ่จึงส่งนักแข่งตัวสำคัญมาร่วมได้มาก (เมื่อเทียบกับ Tour of Japan ที่ชนกับงานแข่ง Giro di Italia ทำให้เราไม่ค่อยได้เห็นทีมระดับ World Tour มาร่วมงานแข่งมากนัก)
แต่ก็ใช่ว่าของแบบนี้มันจะฮิตแต่แรกหรอกนะครับ แต่พวกเขาก็พยายามจัดงานแข่งติดต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็ค่อยๆ สร้างภาพจำติดตาคนทั่วไปเรื่อย จนคนสนใจการแข่งจักรยานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนที่ผมได้ไปก็สัมผัสได้ถึงความเร่าร้อนของเหล่าคนดูได้อย่างเต็มที่เลยทีเดียว ต่อให้เขาบอกว่าปีนี้คนน้อย แต่บรรยากาศของการเชียร์นี่สนุกมากครับ
ด้วยความที่การจัดการแข่งต่างจากยุโรปที่มักจะเป็นงานแข่งแบบจุด A ไปจบจุด B แต่งานแข่ง Japan Cup ก็เป็นแบบวนลูปในอุทยานของเขาประมาณสิบกว่ารอบ (วันเสาร์ก็มีงานแข่งแบบคริเทเรียมปิดถนนหน้าสถานีหลักแข่งเลย) ทำให้แฟนสามารถรอชมได้หลายหลายต่อหลายรอบ จึงมีคนมาปักหลักรอชมการแข่งกันตลอดสองข้างทางแข่งเยอะมาก หลายคนใส่ชุดทีมมาเชียร์ แต่งแฟนซี มีการทำป้ายเชียร์นักแข่งกันอย่างจริงจัง เรียกได้ว่าเป็นบรรยากาศการชมงานแข่งจักรยานแบบที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อน จะเรียกว่าใกล้กับทางยุโรปเลยก็ว่าได้ครับ แฟนคลับเขาเอาจริงเอาจังกันมากๆ ที่สำคัญคือ การเชียร์นักแข่งทีมท้องถิ่น นั่นคือ Utsunomiya Blitzen นั่นเอง
ทีม Utsunomiya Blitzen เป็นทีมจักรยานท้องถิ่นที่ตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2009 โดยมีเป้าหมายว่า อยากจะสร้างทีมท้องถิ่น ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับที่น่าภูมิใจเพราะแม้อายุทีมจะไม่เยอะแต่สร้างผลงานได้ดี เป็นทีมของเมืองโดยตรง ไม่ใช่ทีมของบริษัทธุรกิจอะไร แต่สามารถหาสปอนเซอร์สนับสนุนทีมได้เป็นอย่างดี และกลายเป็นของเชิดหน้าชูตาของชาวเมืองอย่างที่บอกไปว่าตัวนักแข่งกลายมาเป็นขวัญใจชาวเมืองเวลาต้องการโปรโมทอะไรต่อมิอะไร ที่สำคัญทีมยังเน้นการปั้นนักแข่งชาวญี่ปุ่นแทนที่จะใช้เงินฟาดหัวเอานักแข่งต่างชาติมาร่วมทีม
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ทีมจักรยานเป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี เพราะว่าทางท้องถิ่นก็ได้ส่งข้าราชการไปร่วมเป็นสตาฟของทีม ซึ่งก็ไม่ใช่เข้าไปนั่งกินเงินเดือนเฉยๆ แต่ต้องเข้าร่วมบริหารจัดการทีมอย่างจริงจัง ทำให้ความสัมพันธ์ของทีมกับเมืองนั้นเหนียวแน่นดีมาก และก็เป็นรูปแบบที่ทางเมืองใช้ในการจัดการทีมกีฬาอื่นๆ ของเมือง นั่นคือ Tochigi Soccer Club (ทีมฟุตบอล ลีก J3) Nikko Ice Bucks (ทีมฮอกกี้น้ำแข็ง) และ Utsunomiya Brex (ทีมบาสเกตบอลใน B-League) ซึ่งนอกจากทีมกีฬาเหล่านี้แล้ว ทางเมืองยังพยายามดึงอีเวนต์กีฬาต่างๆ เข้ามาจัดในตัวเมือง อย่างแข่งจักรยานยนต์ที่ผมบอกไป หรือกระทั่งงานแข่งบาสเกตบอล 3 on 3 ชิงแชมป์ประเทศก็จัดที่เมืองนี้นั่นล่ะครับ ทำให้เมืองได้ภาพจำว่าเป็นเมืองแห่งกีฬา ที่ไม่ได้ถูกครอบงำโดยทีมกีฬาอาชีพทีมใดแต่เพียงทีมเดียว กลายเป็นโมเดลที่น่าสนใจเอาเรื่อง
เวลาไล่ดูเรื่องการปลุกเมืองด้วยอะไรบางอย่างในญี่ปุ่นนี่ผมสนุกเอามากๆ เพราะได้เห็นความพยายามและไอเดียที่คนในท้องถิ่นพยายามสู้เพื่อความสำเร็จ ซึ่ง Utsunomiya ก็เป็นหนึ่งในเมืองที่จัดว่าประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี และของแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยความตั้งใจ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาท้องถิ่น และความรู้จุดอ่อนจุดแข็งของท้องถิ่นตัวเองเป็นอย่างดี ที่สำคัญคือ อำนาจในการบริหารท้องถิ่น ไม่ใช่รอแต่ส่วนกลางออกคำสั่งมาครับ
อ้างอิงข้อมูลจาก