รู้สึกกันบ้างไหม ว่าหน้าร้อนปีนี้แดดมันแรงซะเหลือเกิน ร้อนขึ้นกว่าปีก่อนๆ ที่เคยเจอมา แล้วจริงๆ มันร้อนแบบนี้ทุกปี หรือตกลงอุณหภูมิมันสูงขึ้นจริงๆ กันแน่?
เผลอแป๊บเดียวหน้าหนาวก็ได้ผ่านพ้นไป ไวชนิดที่ว่ายังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าหน้าหนาวที่ผ่านมาใส่เสื้อหนาวไปตอนไหนกันนะ หลังจากกรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศออกมาว่า ตั้งแต่วันที่ 29 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป ประเทศไทยได้เข้าสู่หน้าร้อนอย่างเป็นทางการแล้ว
ถ้าพูดถึงหน้าร้อนประเทศไทยคงไม่มีคำไหนอธิบายได้ดีไปกว่าคำว่า ร้อนซะจนแทบไหม้ คำๆ นี้กลายเป็นจริงเข้าไปทุกวัน เมื่อทุกวันนี้แดดสามารถทำอันตรายต่อผิวหนังของเรา การอยู่ในพื้นที่กลางแจ้งก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ “บ้าน” จึงกลายเป็นที่หลบแดดได้ดีที่สุด แต่เจ้ากรรมนอกจากแดดจะทำร้ายเราแล้วยังตามมาทำร้ายบ้านของเราเช่นกัน นำมาสู่ปัญหาสีผนังหลุดล่อน ปัญหาความร้อนสะสมภายในบ้าน ทำให้บ้านของเราไม่น่าอยู่ ปัญหาร้อนๆ อย่างโลกร้อนจึงเป็นเรื่องที่ต้องพูดถึงและให้ความสำคัญ
ความร้อนที่เราคิดว่ามันร้อนขึ้น ไม่ได้เป็นแค่ความรู้สึกหรืออุปทานหมู่ แต่เป็นข้อเท็จจริงที่ว่า อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกมันเพิ่มสูงขึ้นจริงๆ จากรายงานขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ที่บอกเราว่าในช่วง 4 ปีหลัง หรือตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2018 อุณหภูมิโดยเฉลี่ยของโลกพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ทะลุสถิติที่เคยมีมา
เช่นเดียวกับรายงานของสำนักพยากรณ์อากาศของอังกฤษ (The UK Met office) ที่ได้ระบุว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ปี 2014 จนถึงปี 2023 เป็นช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาสภาพอากาศร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่เข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งยุคดังกล่าวเป็นดั่งจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ภาวะโลกร้อนโดยฝีมือมนุษย์ ที่เรากำลังประสบพบเจอในปัจจุบันและมีแนวโน้มที่อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลดังกล่าวยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ สำนักงานบรรยากาศและสมุทรศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐฯ (NOAA) และองค์การบริหารอวกาศและการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (NASA) ที่ระบุเอาไว้ว่า ในปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมา มีอุณหภูมิเฉลี่ยในระดับที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก ปัญหาความร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นนำมาสู่การเกิดวิกฤติการณ์ทางธรรมชาติที่รุนแรง อย่างเหตุการณ์ไฟป่าที่ออสเตรเลีย ที่มีสาเหตุมาจากปัญหาภัยแล้งที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง และปัญหาอุณหภูมิที่เพิ่มสูงสุดในรอบ 80 ปี ทั้งสองปัญหาได้กลายมาเป็น ฉนวนแห่งอัคคีภัยขนาดใหญ่ที่คร่าชีวิตไปราว 480 ล้านชีวิต
จากเทคโนโลยี NASA สู่การแก้ไขปัญหาบ้านๆ
ปัญหาความร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกๆ ปี นำมาสู่การคิดค้นเทคโนโลยีที่ช่วยรับมือกับปัญหาดังกล่าว ที่มีชื่อว่า “Microspheres Ceramic” โดยมีคุณสมบัติช่วยลดและสะท้อนความร้อนได้ดี ทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลัน จากคุณสมบัติข้างต้น หลายๆ วงการจึงเริ่มหันมาใช้กันอย่างแพร่หลาย อย่าง NASA เอง ก็ได้ใช้เทคโนโลยี Microspheres Ceramic ในการเคลือบผิวของกระสวยอวกาศ เพื่อลดความร้อนจากแรงเสียดทานในขณะที่ปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ หรือวงการรถแข่ง F1 ที่มีการเคลือบสารนี้บริเวณตัวเบรคในการลดความร้อนขณะเบรค
นอกจากวงการอวกาศอย่าง NASA แล้ว ขยับใกล้ตัวเข้ามาหน่อยอย่างวงการบ้านบ้าน อย่างสีทาบ้านที่ได้มีการนำเอาเทคโนโลยี “Microspheres Ceramic” มาใช้ เพื่อช่วยลดและสะท้อนความร้อนจากภายนอกไม่ให้เข้าสู่ตัวอาคาร ทำให้ภายในตัวบ้านเย็นขึ้นเช่นกัน
เลือกสีทาบ้านให้เหมาะกับสภาพอากาศในอนาคต
เมื่อเรากำลังอยู่ในทศวรรษที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ เรื่องใกล้ตัวอย่าง “บ้าน” สิ่งที่จะอยู่สู้ความร้อนและแดดไปกับเราอีกนานหลายสิบปี จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องให้ความใส่ใจ การเลือกใช้สีทาบ้านที่มีคุณสมบัติในการรับมือกับสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นในอนาคต อย่างการใช้สีทาบ้าน เบเยอร์คูล ไดมอนด์ชิลด์ (BegerCool Diamond Shield) ที่มีเทคโนโลยีสำคัญตอบโจทย์การใช้งานและสามารถรับมือกับอากาศร้อนๆ ได้เป็นอย่างดี จึงเป็นเหมือนการเติมความคงทนให้กับบ้านของเราพร้อมรับมือกับปัญหาต่างๆ
ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยสะท้อนและสกัดกั้นความร้อนไม่ให้เข้าสู่ตัวอาคารจากเทคโนโลยี ไมโครสเฟียร์เซรามิก ทำให้อุณหภูมิภายในบ้านเย็นสบายขึ้น ลดปัญหาความร้อนสะสมและยังส่งผลให้การทำงานของอุปกรณ์ทำความเย็นทั้งหลายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศ พัดลม ตู้เย็น สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าลงได้ถึง 32.95% นอกจากจะทำให้บ้านเย็นสบายแล้ว ยังช่วยทำให้ประหยัดไฟจากหน้าร้อนที่ค่าไฟแสนแพงไปได้ในระดับหนึ่ง
นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติ คงทน จากเทคโนโลยีพันธะเพชร (Diamond Bond) ที่ช่วยเพิ่มพลังการยึดเกาะของเนื้อสี ทำให้ฟิล์มสีแข็งแกร่งและแน่นทนทาน จนคราบสกปรกต่างๆ ไม่สามารถเกาะติดได้ ทั้งยังทนทานการขัดถู สีสันสดใส ไม่หมองเก่าเร็ว ช่วยให้บ้านของเราเย็น ทนทาน สวยนาน 15 ปี เมื่ออายุการใช้งานนานขึ้น จึงสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตัวบ้านในระยะยาว โดยที่ไม่ต้องคอยมาทาสีบ้านอยู่บ่อยๆ
หันมาดูแลรักษาบ้านให้เหมือนที่บ้านดูแลเรากันสักหน่อย เมื่อเราไม่สามารถหนีจากปัญหาความร้อนและแสงแดดที่ต้องเจอทุกวันได้ สิ่งที่ช่วยรับมือได้ก็คือ การเลือกสีทาบ้านที่มีคุณสมบัติ อย่าง ไมโครสเฟียร์เซรามิก และ พันธะเพชรที่อยู่ใน เบเยอร์คูล ไดมอนด์ชิลด์ ช่วยให้คุ้มค่ามากขึ้นเพราะแค่ซื้อสีทาบ้านชนิดเดียวแต่ได้ถึง 2 เทคโนโลยี ที่สามารถสะท้อนและสกัดกั้นความร้อนจากภายนอก ทำให้ภายในบ้านเย็นสบาย อีกทั้งยังทนแดด ทนฝน คงความสวย อยู่สู้ความร้อนกับเราไปได้อีกนาน
สิ่งเล็กๆ อย่างการเลือกใช้สีทาบ้านที่ดีก็มีส่วนช่วยให้โลกของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น ลดการปล่อยสาร CFC และความร้อนเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ นั่นหมายถึงการที่เราทำร้ายโลกน้อยลงในทุกๆ วัน ซึ่งเรื่องเล็กๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ “สีเบเยอร์” คิดและใส่ใจมาโดยตลอด
แค่เริ่มจากเรื่องบ้าน ๆ อย่างสีทาบ้านก็สามารถทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้นได้
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://www.khaosod.co.th/bbc-thai/news_2706885
http://www.thailandadaptation.net/page4.html