แม้ว่าช่วงนี้กระแสของร้านชาบูสุกี้หรือหมูกระทะจะเริ่มซาไปในตลาด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเทศไทยคือหนึ่งในประเทศที่มีการบริโภคเนื้อหมูเป็นโปรตีนหลัก
ล่าสุดมีข่าวเกี่ยวกับการใช้สารเร่งเนื้อแดงในหมู รวมถึงการเจรจานำเข้าหมูที่มีสารดังกล่าวจากสหรัฐอเมริกา จึงเกิดเป็นกระแสที่ทำให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ ต้องหันมาสนใจประเด็นนี้อีกครั้ง
หากสำรวจอุตสาหกรรมปศุสัตว์ตามปกติทั่วไป การได้มาซึ่งเนื้อหมูคุณภาพหรือเนื้อหมูที่มีชั้นไขมันสวยพอดีกับส่วนเนื้อ เมื่อไปวางจำหน่ายตามตลาด ซูเปอร์มาเก็ต หรือกระทั่งร้านสุกี้ชาบู จะมีสีสันหน้าตาชวนกิน ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับปรุงพันธุ์ให้ดี รวมไปถึงการเลี้ยงดูด้วยอาหารคุณภาพ เพื่อให้หมูเติบโตตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับที่มีการตัดเกรดเนื้อวัว แต่เนื่องจากหมูเป็นแหล่งโปรตีนหลัก มีปริมาณการบริโภคที่มากกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ จึงมีการใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘ทางลัด’ ด้วยการใช้ ‘สารเร่งเนื้อแดง’ เพื่อไปทำปฏิกิริยาให้ไขมันเปลี่ยนมาเป็นเนื้อแดง ไม่ต่างอะไรกับการใช้สารเร่งฮอร์โมนในสัตว์ปีกในช่วงหนึ่ง ซึ่งมีการปราบปรามไปนานแล้ว
สารเร่งเนื้อแดง เช่น ซัลบูทามอล (Salbutamol) เคลนบิวเทอรอล (Clenbuterol) เป็นสารในกลุ่มเบต้า อะโกนิสต์ (Beta-agonists) โดย Salbutamol และ Clenbuterol ใช้เป็นยาพ่นขยายหลอดลมในผู้ป่วยโรคหอบหืดหรือโรคหลอดลมอักเสบ ส่วน Ractopamine ใช้ในสัตว์เลี้ยงเพื่อเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตและปรับสัดส่วนกล้ามเนื้อและไขมัน แต่เมื่อสารกลุ่มนี้ถูกนำมาใช้ในการเลี้ยงหมู จะทำให้เกิดการสะสมในเนื้อเยื่อ เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ เกิดผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงอาจเสียชีวิตในสัตว์บางตัวที่มีความไวต่อยา ถือเป็นการทำลายสวัสดิภาพของสัตว์อีกด้วย
ผลลัพธ์จากการใช้สารเร่งเนื้อแดงในขั้นตอนเลี้ยง นอกจากจะทำให้หมูโตไวแล้ว ยังทำให้เนื้อหมูสดที่ออกมามีลักษณะเนื้อนุ่ม แต่แห้ง มีกล้ามเนื้อชัด สีแดงสด ชั้นไขมันน้อย ดูน่ากิน เรียกว่าแทนที่จะใช้การปรับปรุงพันธุ์หรือการเลี้ยงอย่างมีคุณภาพเพื่อให้ได้เนื้อหมูที่ปลอดภัย แต่กลับใช้สารเร่งเนื้อแดงทดแทนแบบเร่งด่วน แน่นอนว่าการใช้สารเร่งเนื้อแดง นอกจากจะช่วยให้เนื้อหมูดิบมีสีสันน่ากินกว่าเนื้อหมูปกติทั่วไปแล้ว เมื่อวางจำหน่ายจะช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างมาก สร้างแรงจูงใจในเชิงการตลาด อธิบายแบบง่ายๆ คือผู้บริโภคอย่างเราๆ จะเลือกเนื้อหมูสักชิ้น ก็ต้องเลือกชิ้นที่สวยๆ ก่อน ความน่ากลัวอีกอย่างคือสารเร่งเนื้อแดง มักจะไปสะสมอยู่ในส่วนเครื่องในเช่น ตับหมู ที่คนไทยส่วนใหญ่ชอบกินนั่นเอง
เมื่อผู้บริโภคกินเนื้อหมูที่มีสารตกค้างเหล่านี้เข้าไปปริมาณมากหรือต่อเนื่อง ร่างกายจะสะสมในเนื้อเยื่อต่างๆ เช่น กล้ามเนื้อ ตับ ไต และไขมัน ส่วนหนึ่งจะถูกขับออกทางปัสสาวะและอุจจาระ แต่ส่วนที่ตกค้างอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงเฉียบพลัน คล้ายกับการได้รับยาเกินขนาด เช่น หัวใจเต้นเร็ว มือสั่น ปวดหัว คลื่นไส้ และอาจเกิดปัญหาหัวใจรุนแรงได้ และยังเป็นอันตรายอย่างมากต่อผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไฮเปอร์ไทรอยด์ ผู้ป่วยโรคลมชัก รวมถึงหญิงตั้งครรภ์อีกด้วย
เกิดเป็นคำถามว่า แล้วเนื้อหมูที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ ปลอดภัยจากสารเร่งเนื้อแดงขนาดไหน จริงๆ แล้ว ประเทศไทยเรามีนโยบายและกฎหมายที่เข้มงวดในการห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงอยู่แล้ว ทั้ง พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 กําหนดให้อาหารที่มีสารเบต้า อะโกนิสท์ ถือเป็นอาหารผิดมาตรฐานและห้ามจัดจําหน่าย ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 269 พ.ศ. 2546 ที่ห้ามตรวจพบสารดังกล่าวในอาหารทุกชนิด รวมถึงกรมปศุสัตว์ได้กําหนดมาตรการตาม พ.ร.บ.ควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. 2558 และประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กําหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ พ.ศ. 2559 โดยห้ามใช้สารเบต้า อะโกนิสท์ในอาหารสัตว์โดยเด็ดขาด นอกจากนี้ กรมปศุสัตว์ยังได้เปิดตัว ‘ปฏิบัติการอวสานสารเร่งเนื้อแดง’ เพื่อเฝ้าระวังการลักลอบใช้สารเร่งเนื้อแดงในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โดยสุ่มตรวจปัสสาวะของหมูเพื่อตรวจหาสารเร่งเนื้อแดงตกค้าง ทั้งจากหน้าฟาร์ม และก่อนเข้าโรงฆ่า รวมไปถึงสุ่มตรวจเนื้อและเครื่องในในโรงฆ่าและเขียงจำหน่ายซึ่งตัวเลขอ้างอิงจากกองควบคุมอาหารและยาสัตว์ กรมปศุสัตว์ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 67 – 6 สิงหาคม 68 ปรากฏผลของการตรวจสอบมีผลเป็นบวกเพียง 0.16% เท่านั้น นั่นหมายความว่าการใช้สารเร่งเนื้อแดงในฟาร์มเลี้ยงสัตว์พบน้อยมาก แม้จะยังมีการลักลอบใช้อยู่บางส่วน
สิ่งที่หน่วยงานต่างๆ ต้องเฝ้าระวังอย่างหนัก ไม่ใช่เพียงแค่การลักลอบใช้สารเร่งเนื้อแดงภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเด็นการเปิดตลาดให้มีการนำเข้าเนื้อหมูจากอเมริกา เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าในภาพรวม ซึ่งอาจทำให้ต้องยอมรับความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์บางส่วน และส่งผลกระทบต่อธุรกิจอาหารในบ้านเราอย่างแน่นอน เพราะนอกจากเรื่องของสงครามราคา ด้วยขนาดอุตสาหกรรมสุกรของอเมริกามีโครงสร้างที่ใหญ่และมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทยมาก ต้นทุนในการผลิตของไทยสูงกว่าอเมริกาถึง 1.3 เท่า นั่นหมายความว่า ราคาเนื้อหมูนำเข้าจากอเมริกาจะมีราคาถูกกว่าเนื้อหมูไทยแน่นอน ประกอบกับการที่อุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรของไทยกำลังเผชิญกับปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าราคาตลาด เกษตรกรจำนวนมากประสบภาวะขาดทุนและรู้สึกเสียเปรียบเมื่อต้องแข่งขันกับเนื้อหมูที่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดง สร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรบางส่วนมองหา ‘ทางลัด’ ที่ผิดกฎหมายเพื่อความอยู่รอด
และประเด็นสำคัญคือเรื่องของความปลอดภัยต่อผู้บริโภค เพราะตามมาตรฐานเนื้อหมูของอเมริกา มีการใช้สารเร่งเนื้อแดงดังกล่าว แม้ว่าหน่วยงานกำกับดูแลของอเมริกาจะยืนยันว่ามีการใช้เพียงเล็กน้อยและปลอดภัยต่อการบริโภค ตราบใดที่สารตกค้างยังไม่เกินค่าที่กำหนดไว้สูงสุด ในทางตรงกันข้าม มาตรฐานดังกล่าวของอเมริกากลับไม่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ขัดกับนโยบายด้านกฎหมายและสาธารณสุขของหลายประเทศ โดยสารแรคโตปามีน เป็นสารต้องห้ามในกว่า 160 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย แต่อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมปศุสัตว์ และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ก็ยังคงยืนยันในการต่อต้านการนำเข้าเนื้อหมูจากประเทศที่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดงอย่างเด็ดขาด
ขณะเดียวกัน สำหรับผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็จำเป็นต้องป้องกันตัวเองไว้ก่อน คำถามที่หลายคนสนใจคือ การใช้ความร้อนในการปรุงอาหาร อย่างเช่นการนำไปต้มหรือย่างจะช่วยทำให้สารเร่งเนื้อแดงหายไปไหม ผลการศึกษาพบว่าการใช้ความร้อนสามารถลดปริมาณสารได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่เลือกกินเนื้อหมูที่มีสารตกค้างนั่นเอง วิธีสังเกตเบื้องต้นคือเนื้อหมูทั่วไปจะมีสัดส่วนเนื้อต่อไขมันประมาณ 2:1 แต่ถ้าเป็นเนื้อหมูที่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดงอาจมีสัดส่วนเนื้อต่อไขมันสูงกว่านี้ เช่น 3:1 เลยทีเดียว จึงควรเลือกเนื้อหมูที่มีสีชมพูอ่อน เนื้อแน่น เด้ง ชั้นไขมันไม่บางจนเกินไป มีสีขาวนวล จำไว้ว่าเห็นเนื้อแดงๆ ไม่ใช่น่ากิน แต่น่ากลัว และที่สำคัญคือต้องมองหาสัญลักษณ์ Q หรือ ปศุสัตว์ OK ก็จะช่วยให้การกินเนื้อหมูของเราอุ่นใจ ปลอดภัยจากสารเร่งเนื้อแดงได้แล้ว
ประเด็นการใช้สารเร่งเนื้อแดงในเนื้อหมูในปัจจุบัน หากมองในภาพรวม ไม่ใช่แค่เรื่องของความปลอดภัยในการบริโภคเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความเชื่อมั่นต่อความมั่นคงทางอาหารระยะยาว ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนช่วยกันแก้ไข รวมไปถึงผู้บริโภคอย่างเราๆ ในการมีส่วนร่วมร่วมเฝ้าระวังและตรวจสอบด้วยเช่นกัน