เมื่อพูดถึงอินฟลูเอนเซอร์ชาวไทยที่ใช้ทักษะด้านศิลปะในการสร้างสรรค์เนื้อหา เชื่อเหลือเกินว่าชื่อของ ฮ่องเต้ – กนต์ธร เตโชฬาร ต้องเป็นชื่อแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง
บัณฑิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคนนี้มีความสามารถหลากหลาย ทำงานศิลปะได้หลายแขนง ทั้งวาด ปั้น ออกแบบคาแรกเตอร์ แสดงละคร ฯลฯ บางคนรู้จักเขาในฐานะเจ้าของเพจงานวาดซึ่งมีผู้ติดตามหลายหมื่นคนอย่าง Art of Hongtae บางคนพบเห็นเขาในบทบาทยูทูบเบอร์ที่เล่าเรื่องด้วยสไตล์จัดจ้าน และบางคนอาจเคยไปร่วมงานซึ่งมีฮ่องเต้เป็นพิธีกร วิทยากร หรือผู้ดำเนินรายการซึ่งเกี่ยวข้องกับศิลปะ
อย่างไรก็ดี แม้ใบหน้าของศิลปินวัย 38 คนนี้จะถูกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม ทาทาบด้วยเสียงหัวเราะและอารมณ์ขัน ทว่าลึกๆ ภายในกลับซุกซ่อนความรู้สึกอันบีบคั้นจนเคยถึงขั้นแตกสลาย ความท้าทายในช่วงใกล้เลขสี่ของฮ่องเต้คือการเลี้ยงชีวิตด้วยอาชีพอิสระซึ่งชื่อเสียงและความนิยมไม่ใช่เครื่องมือที่คงทนถาวร วันนี้มีคนรัก พรุ่งนี้อาจหมดรัก ชีวิตมีความไม่แน่นอนร้อยแปดพันเก้า…
การเงินสุ่มเสี่ยง ปัญหาสุขภาพรุมเร้า อุปสรรคด้านความสัมพันธ์ที่เกิดจากอุปนิสัยส่วนตัวก็ยากจะเอาชนะ ภายนอกที่ทุกคนมองเขาในฐานะอินฟลูเอนเซอร์ แท้จริงแล้วสิ่งที่ต้องเจอเป็นอย่างไร และเขารับมือกับสารพัดความจ๋อยที่ถาโถมด้วยวิธีการไหน The MATTER จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจพร้อมกัน
01
“เรากลายเป็นคนที่สามารถบอกว่าคนอื่นโง่ได้ง่ายมาก”
ขอเริ่มจากให้ฮ่องเต้แนะนำตัวตามคอนเซปต์ของรายการ 30 ยังจ๋อย
สวัสดีครับ ฮ่องเต้ Art of Hongtae อายุ 38 ปี ยังหายใจอยู่ครับ
ช่วงนี้การหายใจและสุขภาพร่างกายเป็นยังไงบ้าง
หายใจแย่มาก ฝุ่นเยอะ เพิ่งจมูกอักเสบรุนแรงไปไม่นานมานี้ ไซนัสก็เป็นอยู่แล้ว ภูมิแพ้อากาศก็เป็นมาตั้งแต่เด็ก พูดง่ายๆ คือกลับมาเป็นทุกสิ่งที่ไม่ควรจะเป็น ทุกวันนี้ล้างจมูกเป็นกิจวัตรประจําวัน เป็น 30 ปลายๆ ที่ทรมานเพราะที่ผ่านมาไม่ค่อยใส่ใจเรื่องสุขภาพ
เหมือนเป็นผลกรรมที่สะสมมาตลอด แต่เพิ่งมาส่งผลเอาตอนนี้
ใช่เลย เต็มที่เลย หายใจเสียงดังมากๆ มีน้ำมูก เป็นหนองง่าย เป็นภูมิแพ้ด้วย เป็นโควิดมาแล้ว 2 รอบ ถ้าจำไม่ผิดคือปอดแย่ไปแล้ว 30 เปอร์เซ็นต์
วัย 20 กับ 30 ต่างกันมากน้อยแค่ไหน
ต่างกันเยอะ ร่างกายก่อนเลย เราเคยกระโดดสูงมาก เป็นนักบาสโรงเรียน จําได้ว่าตอนเด็กๆ เราไปเที่ยวน้ําตกแล้วกระโดดจากหินก้อนหนึ่งไปอีกก้อนหนึ่ง ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองเป็นเสือจากัวร์ เท่มาก แต่ถ้ากระโดดตอนนี้น่าจะตาย (หัวเราะ) บาลานซ์ไม่เหลือแล้ว ไม่ต้องข้ามก้อนหินหรอก ทุกวันนี้แค่ลำธารก็น่าจะล้มหัวฟาด
ความคิดก็ต่าง เมื่อก่อนเป็นคนคิดอะไรทำเลย ทำทันที ไม่รีรอ แต่ปัจจุบันรอได้ ต้องรอ เพราะเข้าใจแล้วว่ามีหลายอย่างในโลกนี้ที่เราทำด้วยตัวเองคนเดียวไม่ได้ เราต้องพึ่งพาคนอื่น ทุกวันนี้ขี้เกรงใจขึ้นเยอะ เริ่มคิดก่อนว่า ถ้าจะชวนเขา เขาจะได้อะไรกลับไปบ้าง
ทุกวันนี้คิดก่อนพูดมากขึ้นไหม
ยังชมคนเร็วเหมือนเดิม เจองานแล้วชอบมาก ก็บอกว่าชอบมาก แต่ประโยคหลังจากนั้นจะคิดเยอะขึ้น ไม่กล้ารับปาก ไม่กล้าชวนคนเร็วเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ความรู้สึกตอนเข้าสู่วัย 30 แรกๆ เป็นยังไง
จริงๆ เป็นคนไม่ค่อยแยกเลข 2 กับ 3 ตื่นเต้นกับเบญจเพสมากกว่า (ยิ้ม) ช่วง 24 ต่อ 25 ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงมาก ทำงานหนักหน่วง ใช้ชีวิตเลวทราม ตอนนั้นน่าจะเป็นรอยต่อที่ใหญ่มากของชีวิต พอผ่านช่วงนั้นมาได้ก็เตรียมตัวกับอะไรๆ ได้ดีขึ้น ตอนจะเข้า 30 เลยทำได้ดีกว่าตอนนั้นเยอะ
ที่ว่าสุดเหวี่ยงในวัย 25 มันสุดเหวี่ยงยังไง
ถ้ามองย้อนกลับไป คิดว่าช่วงนั้นเราบริหารจัดการอีโก้ตัวเองได้ไม่ดีเลย เรากลายเป็นคนที่สามารถบอกว่าคนอื่นโง่ได้ง่ายมาก เอาตัวเองเป็นไม้บรรทัดตัดสินทุกเรื่อง คิดแทนคนอื่น เป็นคนไม่น่ารัก ถ้าย้อนกลับไปเจอตัวเองได้คงอยากตบกระบาล เลิกคบ หรืออย่างน้อยๆ คงถอยห่าง
จุดไหนที่รู้สึกตัวว่าทำแบบนี้ไม่น่ารัก
น่าจะเป็นตอนอกหัก โดนทิ้งครั้งแรกในชีวิต อายุประมาณ 33 อยู่กันมาประมาณปีครึ่ง แล้วอยู่ดีๆ เขาก็ไป ซึ่งไอ้คําว่า ‘อยู่ดีๆ’ จริงๆ ไม่ถูกหรอก เพราะพอมานั่งทบทวน มันคือการสะสมความร้าวฉาน เรามีความไม่น่ารักบางอย่างอยู่ในตัว หรืออาจจะมีการแสดงออกบางอย่างที่เป็นพิษโดยที่เราเองไม่รู้ว่าเป็นพิษ จนกระทั่งมีคนติดพิษและรู้สึกไม่ไหวกับอาการ ไม่ไหวกับความเจ็บปวด แล้วพอรู้ตัวอีกที เขาก็หายไปจากชีวิตเราแล้ว ไม่อยากกลับมาติดพิษแบบนี้อีกแล้ว
ตอนนั้นแตกสลายไหม
หนักเลย แตกสลายมาก ถามคนรอบรอบตัวได้เลย ช่วงนั้นฮ่องเต้เละ ประชุมๆ อยู่ร้องไห้ ไม่อยากเข้าบ้าน ไม่อยากเข้าครัว เพราะเราเคยอยู่ที่นั่นกับเขา นั่งส้วมแล้วมองซ้ายไม่ได้ เพราะจะเห็นเขายืนแปรงฟันอยู่ตรงนั้น เราจำเป็นภาพ และภาพจำยังชัดเจนเหมือนเดิมทุกอย่าง
แต่เหตุการณ์เหล่านั้นก็ช่วยให้อีโก้ลดลง
ส่วนหนึ่งก็คงใช่ ยกตัวอย่างงานคนหัวเมฆที่ทำล่าสุด หลายคนถามว่า ทำไมงานพี่ฮ่องนิ่มลง ทำไมลายเส้นไม่ค่อยรุนแรงแล้ว เป็นเราเองที่อยากใช้สีที่หวานขึ้น น่ารักขึ้น เข้าถึงง่ายมากขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดจากการโดนทิ้ง ลึกๆ แล้วเรารู้ดีว่า เราไม่ใช่คนอบอุ่น เป็นคนเห็นแก่ตัวและเอาแต่ใจ แต่เราพยายามเพิ่มหมวดใหม่ เราอยากเข้าอกเข้าใจ แคร์คนอื่น เพราะเราคิดว่านั่นคือจุดอ่อนของตัวเรา
การขุดคุ้ยตัวเองในช่วงนั้นยากไหม ใช้วิธีไหนถึงทำได้
(หัวเราะ) มันคงเป็นกลไกการป้องกันตัวเองยามฉุกเฉินมั้ง เหมือนคนที่ปกติไม่สวดมนต์ ต้องไปโรงแรมร้างก่อนถึงเริ่มสวด ปกติเราก็อยู่อย่างนี้ของเรา พอถูกทิ้ง มันเลยเริ่มทำความเข้าใจมั้งว่า จริงๆ เราเองก็มีข้อเสีย เหมือนถ้าไม่ใกล้ตาย เราคงไม่สนใจประกันสุขภาพ ถ้าไม่โดนภาษีเป็นล้าน เราคงไม่สนใจการลดหย่อยภาษี ต้องเจ็บถึงจะรู้
02
“อินฟลูฯ ฟรีแลนซ์คือการอยู่กับความไม่แน่นอนรายวัน”
การเป็นอินฟลูเอนเซอร์ในวัย 38 เป็นยังไงบ้าง
จริงๆ มันมีความน่ากลัวอยู่นะ สิ่งหนึ่งที่ต้องบอกตัวเองตลอดคืออย่าเอาใจไปผูกกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ต้องมีสติมากๆ เราต้องเวิร์กกับคอนเทนต์ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเวิร์กกับจิตใจตัวเองด้วย การที่มีคนจ้างวันนี้ มีคนรักวันนี้ ไม่ได้แปลว่าพรุ่งนี้เขาจะยังรักเราและอยากจ้างเรา จุดหนึ่งที่หลายคนลืมไปคืออินฟลูเอนเซอร์เป็นงานฟรีแลนซ์อย่างหนึ่งที่ไม่มั่นคง ไม่งั้นหลายคนก็อาจจะไม่เลือกทำงานประจำทั้งที่ทรมานหรอก อินฟลูฯ ฟรีแลนซ์คือการอยู่กับความไม่แน่นอนรายวัน
เรื่องที่อยากพูดมากๆ เลยคือ หลายคนชอบบอกว่า ถ้าคุณทําสิ่งที่คุณรักให้เป็นงานได้ มันจะยอดมากเลย ฟรีแลนซ์หลายคนพูดเนอะ เอาความชอบมาสร้างมูลค่า แม่งเจ๋งมาก แต่ในวัย 38 เรารู้สึกว่ายิ่งเอาความชอบไปเป็นงานอดิเรกได้มากเท่าไหร่ นั่นต่างหากชัยชนะ เพราะทุกวันนี้ การวาดรูปคืองาน ถ้าลูกค้าอยากได้รูป แล้วขอให้เราวาดแบบนี้ๆ เราอาจต่อรองได้นิดหน่อย แต่ก็ต้องวาดตามลูกค้า ไอ้ส่วนที่ว่าเราอยากวาดอะไรค่อยตามมาทีหลัง ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราและเขา แต่มันคือตรงกลางที่ทุกฝ่ายโอเคกับมัน
ทำไมถึงคิดว่า ‘วันนี้เขารัก พรุ่งนี้เขาอาจจะไม่รักก็ได้’
มันแขวนบนเส้นด้ายจริงๆ นะ จะขาดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ วันนี้เขารักเราเพราะเราเป็นบางอย่างสำหรับเขา แต่ไอ้บางอย่างนั้นอาจจะไม่ใช่ตัวตนของเราก็ได้ หรือเราอาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่วันหนึ่งเราอาจไม่ได้เป็นแล้ว คนเราเปลี่ยนแปลงทุกนาที ความคิดเปลี่ยนแปลงไปตลอด คนที่เคยรักเรา เขารับได้ไหมล่ะถ้าเราไม่เหมือนเดิม นักแสดงบางคน แค่รูปร่างเปลี่ยน คนยังตั้งคำถามเลย เพราะงั้นสิ่งที่เราต้องคิดในระยะยาวเพื่อให้ยั่งยืน คือต้องเป็นอินฟลูฯ ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
อินฟลูฯ ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งเป็นยังไง
ไม่สร้างคาแรคเตอร์ขึ้นมาครอบตัวเอง เราสําแดงความเปลี่ยนแปลงของเราเสมอ ตอนนี้เราแต่งตัวแบบนี้ ตอนนี้เราชอบแบบนี้ แต่ก่อนเคยชอบแบบนั้นนะ แต่ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผู้ชมของเราเปลี่ยนไป บางคนเลิกดู บางคนเข้ามาใหม่ สิ่งที่เราต้องทำคือรู้จักเขา เรียนรู้รสนิยมของเขา หาให้เจอว่าเขาชอบเราในแง่มุมไหน แต่แค่รับรู้นะ ไม่ใช่เปลี่ยนตัวเองหรือหาอะไรมาครอบเพื่อให้เขาชอบ รู้จักเขา แล้วเติบโตต่อไปในแบบของเรา
แปลว่าไม่ต้องทำให้ทุกคนรัก
ถูก เดี๋ยวนี้ตลาดคอนเทนต์คือตลาดเฉพาะกลุ่ม ไม่มีทางที่ทุกคนจะชอบเราอยู่แล้ว ต่อให้วางคาแรกเตอร์ก็ไม่ใช่ทุกคนจะชอบ แต่ถ้าเราเป็นตัวเอง และมีกลุ่มคนที่รักเราจริงๆ อาจจะแค่ 3,000 คน แค่นั้นก็พอแล้ว คือเยอะได้ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่จำเป็น
ในฐานะศิลปิน เรื่องที่กดดันที่สุดในวันนี้คืออะไร
อัลกอริทึม (หัวเราะ) เพจ Art of Hongtae เป็นเพจวาดรูป แต่ปัจจุบัน ถ้าลงรูปวาด ยอดจะถูกกด กดยับเลย แล้วเราต้องปรับตามไหมล่ะ ก็เราอยู่ในแพลตฟอร์มเขา เหมือนเขาเป็นมังกร เราเป็นเห็บ เอาอะไรไปสู้ล่ะ สิ่งที่ทำได้คือทำยังไงให้ดูดเลือดมังกรต่อไปได้โดยที่มังกรไม่ฆ่าเรา เราต้องหัดเรียนรู้จากสิ่งที่มี จากทรัพยากรที่มี ดีที่ว่าคนที่ตามเพจ ส่วนมากก็ตามที่ตัวตนของเรา เพราะงั้นก็คงไม่แปลกที่เราจะลงไลฟ์สไตล์บ้าง ไปเที่ยวบ้าง งานเขียนบ้าง ซึ่งก็สร้างประโยชน์ให้กับคนที่ติดตามได้เหมือนกัน
แปลว่าไม่ได้ยึดติดกับความเป็นศิลปิน
ยึด ถึงได้ทุกข์ไง (หัวเราะ) ทุกข์อยู่พักหนึ่งจนได้เรียนรู้ว่า อ๋อ ทุกข์ไปก็เท่านั้น เอาเวลามาขบคิดอะไรที่เป็นไปตามอัลกอริทึมดีกว่า ดูว่าเราทำอะไรได้บ้างที่ยังไม่ฝืนหรือเสียความเป็นตัวเราไป
ถ้ามีชาวฟรีแลนซ์อ่านอยู่ ฮ่องเต้คิดว่าพวกเขาควรรักษาความชอบของตัวเองยังไงไม่ให้มันกลายเป็นสิ่งที่เขาเกลียด
ต้องเตือนตัวเองบ่อยๆ ว่า แม้สิ่งที่ชอบจะไม่สร้างรายได้อะไรให้เราเลยก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่ดี เออ อยากให้ตระหนักรู้ไว้ว่า สิ่งที่ชอบไม่จําเป็นต้องมีสาระ ต้องสร้างรายได้ และไม่จําเป็นต้องมีคนมาชอบมันแบบที่เราชอบ แค่เราทำแล้วมีความสุข มันพอแล้ว
ชาวฟรีแลนซ์มองว่าภาษีเป็นเรื่องที่ชวนปวดหัวไหม
ฮือ อยากร้องไห้ ภาษีบุคคลโหดมาก แถมเราเป็นประเภทไม่เคยเก็บเอกสารอะไรเลย ไม่สนใจภาษีด้วย เรากลัวสรรพากรมาก (หัวเราะ) ไม่ได้ไปทำอะไรผิดมานะ แต่เราอาจจะเคยเผลอทำผิดโดยไม่รู้ก็ได้ เคยโดนเรียกไปสรรพากรครั้งหนึ่ง เครียดมาก รู้สึกเหมือนตัวเองค้ายา ซึ่งสิ่งที่เขาบอกคือ ยื่นเอกสารไม่ครบนะคะ ขาดอันนี้นะคะ มีการทำลดหย่อนไหมคะ อันนี้เป็นบุคคลหรือบริษัทคะ ใครทำบัญชีให้คะ คือรู้สึกเหมือนโดนซ้อม เลือดกระฉูดเต็มผนังไปแล้ว
แล้วสรุปว่าขาดเอกสารอะไรบ้าง
ทุกอย่าง เพิ่งรู้ว่าแม่คอยดูแลทุกอย่างนี้มาตลอด ซึ่งแม่ก็ด่าเรามาเสมอที่ไม่เคยเก็บกระดาษอะไรเลย หลังจากนั้นเก็บทุกอย่าง เพิ่งรู้ว่ากองทุนลดหย่อนภาษีได้ เมื่อก่อนไม่เคยรู้อะไรพวกนี้เลย
ความเสี่ยงเยอะมาก ทั้งเรื่องเสียตัวตน ความไม่มั่นคง ภาษี ฯลฯ ทำไมยังเลือกทำฟรีแลนซ์มาจนถึงตอนนี้
เพราะคิดว่าตัวเองทํางานประจําไม่ได้แล้ว และยังพอเห็นภาพตัวเองไปต่อในทางนี้ได้
งั้นที่พอจะแนะนำฮ่องเต้และชาวฟรีแลนซ์ได้คือ ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ เกนเฟิสต์ อี-เซฟส์วิ่ง 10/5 รับประกันชีวิตโดยกรุงเทพประกันชีวิต อยากแนะนำเพราะเป็นประกันที่จ่ายเบี้ย 5 ปี แต่คุ้มครอง 10 ปี หรือก็คือวางแผนทีเดียว สบายใจไป 5 ปีเลย สมัครง่ายผ่านโมบายแบงก์กิ้งธนาคารกรุงเทพ
จริงไหมเนี่ย น่าสนใจนะ อยากสบาย 5 ปีบ้าง เดี๋ยวลองไปหาข้อมูลต่อดีกว่า (ยิ้ม)
03
“ที่อยากมากๆ เลยคืออยากพาแม่ไปฮอกไกโด”
ฮ่องเต้ในวัย 38 กลัวอะไรบ้าง
กลัวไม่มีใครรัก ไม่สำคัญ ไม่มีเงิน และกลัวเลขาลำบาก น่าสงสารเนอะ (หัวเราะ) ยิ่งแก่ยิ่งกลัวว่ะ กลัวเจ็บ กลัวล้ม กลัวพลาด ความสนุกมันหดเล็กลงเยอะ
ทำไมถึงกลัวไม่มีใครรัก
(นิ่งไป) ไม่แน่ใจ หลายคนบอกว่า เรามักจะกลัวสิ่งที่เราเผลอไปทำกับคนอื่น อืม… หรือเราไม่ค่อยรักใครวะ ก็เลยกลัวคนอื่นจะไม่รักเรา
แล้วที่ว่ากลัวไม่สำคัญล่ะ
มนุษย์เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยการถูกรับรู้ ถูกเห็นหัว ถ้าไม่ถูกรับฟัง ยังไงก็รู้สึกแย่ ถ้าเราเคยอยู่ในจุดที่โอเคมากๆ แต่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในจุดนั้นแล้ว มันย่อมรู้สึกสูญเสียเป็นธรรมดา แต่ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกถูกเห็นหัวพอสมควรนะ ก็อยากขอบคุณทุกคนเลย (หัวเราะ) ยังมีเงินเลี้ยงชีพ มีเงินซื้อของเล่น
ฮ่องเต้เคยบอกว่า สิ่งที่ชุบชูใจได้มากสุดคือแม่ส่งข้อความมาบอกรักในวันเกิด
จริงๆ นะ แต่ก็อาจจะไม่ค่อยดี เพราะมันแปลว่าปกติเขาไม่เคยส่งเลย
ปกติคุยกับแม่บ่อยไหม
ไม่ค่อย ไม่ค่อยคุยกับคนในครอบครัว เป็นคนซึนๆ แค่จะกอดพ่อยังเขิน กอดแม่คือแม่ดิ้น เป็นธรรมดาของลูกหลานชาวจีนมั้ง เชื่อมั่นในการทุ่มเททำงาน กลัวลูกเหลิง ไม่ค่อยชม ไม่ค่อยแสดงออก
ตอนวันเกิด แม่ส่งข้อความมาว่าอะไร
จริงๆ เซฟเก็บไว้ด้วยนะ ข้อความเต็มๆ คือ ‘สุขสันต์วันเกิด ขอให้มีความสุข โดยเฉพาะสุขภาพดี สมหวังในทุกสิ่งที่ดีที่คิดหวัง สําเร็จในสิ่งที่ตั้งใจทํา มีวินัยในการออกกําลังกาย เป็นที่รักของทุกคนที่รู้จัก ขอเป็นกําลังใจที่ห่วงใยแบบห่างๆ แต่ขอให้รู้ว่าไม่เคยหายไปไหน’
ใจฟูมากเลยเนอะ
(ยิ้ม) อ่านจบเราตอบกลับไปว่า ‘รักแม่ที่สุดนะครับ’ แล้วแม่ก็ตอบกลับมาว่า ‘เช่นกัน’
ในวัยนี้ มีอะไรที่อยากพาแม่ไปทำบ้างหรือเปล่า
เขาไม่ค่อยมีความอยาก เขาอยากทำให้คนอื่น ไม่ค่อยอยากทำให้ตัวเอง ทุกวันนี้ตื่นมา สิ่งที่เขาทำคือจัดแจงความสะดวกให้ชีวิตของคนอื่นจนเขาอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า ตัวเองชอบอะไร ที่พอนึกออกคือเขาชอบไปกินร้านอร่อยร้านเดิมๆ อืม… จริงๆ ที่อยากมากๆ เลยคืออยากพาแม่ไปฮอกไกโด เพราะเป็นที่เดียวที่แม่พูดว่า ‘ดีเนอะ อยากไปอีก’ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากพาแม่ไปด้วยกัน
04
“สิ่งที่ทำทุกวันตอนนี้คือจัดบ้าน”
ช่วงสุดท้าย อยากถามคำถามแบบแรนด้อม ข้อแรกฮ่องเต้คิดว่า มนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร
อะไรเนี่ย (หัวเราะ) สร้างขยะ สร้างคาร์บอน สร้างโลกร้อน ทะเลาะกันในเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องที่ไม่ใช่ปัจจัยสี่ เช่นความเชื่อ ซึ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้สร้างสงครามได้เลยนะ
มีเรื่องอะไรบ้างที่ในวัย 38 ฮ่องเต้ไม่อยากทะเลาะแล้ว
ความเชื่อมั้ง เรื่องส่วนบุคคลที่ไม่ต้องมานั่งเถียงกัน แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการไม่เบียดเบียนกันนะ
ข้อ 2 ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตจะบอกตัวเองว่า…
ทำดีแล้ว จบสักทีนะ เราว่าเราพูดกับทุกคนบ่อยว่า กูตายได้แล้ว กูทำมาเยอะแล้ว ทำแทบจะทุกเรื่องที่อยากทําแล้ว มีที่อยากทำอีกสักอย่างคือเขียนหนังสือ ไม่เคยกล้าเลย เพราะคิดว่าเป็นงานใหญ่ แต่จริงๆ ทุกวันนี้ที่ทำคนหัวเมฆก็เป็นหนังสือนะ หรือก็พยายามทำไตรโลกาที่นำไตรภูมิฯ มารื้อใหม่เป็นนิยาย เราชอบ The Lord of the Ring กับ Games of Thrones มาก เลยอยากมีของตัวเองสักเรื่อง คงเสียดายถ้าไม่ได้ทำ
ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน ฮ่องเต้ใช้เวลากับเรื่องอะไรมากที่สุด
ดูซีรีส์ ล่าสุดดู อย่ากลับบ้าน
พูดถึงบ้าน ในวัย 38 เวลาและสถานที่สำคัญมากขึ้นไหม
มาก ช่วงนี้สิ่งที่ทำทุกวันคือจัดบ้าน เป็นความสุขใหญ่โตของชีวิต แค่เห็นพื้นกระดานบ้านก็ดีใจแล้ว เพราะปกติพื้นรกมาก มีของเต็มไปหมด ณ อายุเท่านี้ที่เป็นภูมิแพ้ด้วย มันต้องจัดได้แล้ว เมื่อก่อนเวลาเห็นของเยอะๆ แล้วชอบ บ้านกูแม่งเท่ ของเยอะ เต็มไปด้วยของสะสม ดีใจ แต่ทุกวันนี้ทุกข์มาก เพิ่งรู้สึกว่า มันไม่เป็นระเบียบ ของต่างๆ ไม่ถูกให้เกียรติ แจกันบางขวด แพงมาก แต่ดันวางอยู่กับรองเท้า ไม่ไหวแล้วว่ะ รกเกิน (หัวเราะ)
ก่อนเดินทางกลับบ้าน (ที่ปัจจุบันไม่รกแล้ว) ธัญวัฒน์ อิพภูดม แห่งรายการ 30 ยังจ๋อย ถามฮ่องเต้ปิดท้ายว่า “อยากบอกอะไรกับคนที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าสู่วัย 30”
ฮ่องเต้นิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนพรั่งพรูคำตอบ
“เตรียมพบเจอกับความผิดหวังที่ใหญ่ขึ้น ความเสี่ยงที่มากขึ้น ปัญหาการเงิน และภาระที่ต้องจ่าย ต้องผ่อน ต้องวางแผน อย่าตกใจ ยิ่งเตรียมพร้อมมากเท่าไหร่ ยิ่งตกใจน้อยเท่านั้น อ้อ ที่สำคัญอย่าคิดไปเองว่า อายุ 30 แก่ไปหรือเด็กไปสําหรับอะไร เพราะคนเราตายได้เสมอ ทุกอย่างเป็นปัจจุบัน ไม่มีทันสมัยหรือเชย ไม่มีช้าไปหรือเร็วไปในการหาทางลงให้ตัวเอง”
“คำว่าทางลงหมายถึง…”
“อืม หมายถึงจุดปลอดภัย จุดที่อยู่แล้วไม่เดือดร้อนทั้งในแง่รายได้และอารมณ์”