สำหรับคนทำอาหารแล้ว ไม่ว่ามื้อไหนๆ ที่ลงครัว ‘น้ำมัน’ ก็เป็นวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ปรุงเสมอ จะเมนูเบสิกอย่างการทอดไข่ดาว หรือเมนูโชว์ฝีมือปลายจวักกว่าครึ่งก็ต้องใช้น้ำมันกันทั้งนั้น เพราะของผัดของทอดมันแซ่บและเราก็ชอบอีสของอร่อยกันยังไงล่ะ!
แต่พอหมดมื้ออาหาร น้ำมันที่เหลือในกระทะก็กลายเป็นของเสียที่เหลือทิ้ง ขอแอบถามคุณพ่อครัวแม่ครัวแต่ละบ้านหน่อยสิว่า ปกติจัดการน้ำมันใช้แล้วยังไงกันบ้าง? ในเมื่อเทลงท่อก็เสี่ยงอุดตัน เททิ้งลงถังเฉยๆ ก็ดันไม่เกิดประโยชน์อะไร… แล้วจะดีกว่าไหมถ้าเราเปลี่ยนน้ำมันพืชใช้แล้วที่ดูเหมือนหมดประโยชน์ให้เป็นของที่มีราคาได้
พูดไปแล้วใครจะเชื่อว่าน้ำมันพืชใช้แล้วสามารถแปรเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินได้ แถมไม่ใช่โปรเจกต์ฟุ้งฝันที่ทำได้แค่ในห้องทดลอง แต่เกิดขึ้นจริง พาคนบินลัดฟ้ามาแล้วจริงๆ ด้วยนะ !? และกระบวนการเดียวกันนั้น ยังสามารถผลิตวัตถุดิบที่ดีต่อโลก อย่างพลาสติกชีวภาพและบรรจุภัณฑ์ชีวภาพได้อีกด้วย
หลายคนฟังแล้วอาจจะรู้สึกว่าเป็นเทคโนโลยีไกลตัวหรือเปล่า? บอกเลยว่าอะไรดีๆ แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่ต่างประเทศไกลๆ ที่ไหน แต่เกิดขึ้นจริงและเริ่มใช้แล้วในไทย และวันนี้เราจะมาเล่าให้ทุกคนฟังกัน

น้ำมันที่เหลือจากทอดไข่เมื่อวาน คือพลังงานใหม่ให้เครื่องบิน
ทุกวันนี้หมุดหมาย ‘ความยั่งยืน’ น่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนในสังคมใฝ่ฝันถึง องค์กรต่างๆ เองก็ปักหมุดแห่งความยั่งยืนนี้ไว้เป็นแนวทางเดินหน้าพัฒนาธุรกิจเช่นกัน
และหมุดหมายความยั่งยืนนี้แหละ ที่ช่วยขับเคลื่อนโครงการของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ให้พัฒนา โรงกลั่นชีวภาพ หรือ Biorefinery แบบครบวงจรขึ้นมา ด้วยการปรับโฉมโรงกลั่นที่มีอยู่แล้ว ให้สามารถใช้วิธีที่เรียกว่า ‘การผลิตร่วมแบบ Co-processing’ ได้ ทำให้ไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติมมากมาย แต่สามารถเริ่มการผลิตที่ตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งโรงกลั่นนี้สามารถนำเอาน้ำมันพืชใช้แล้วมาเป็นส่วนประกอบของหลากหลายผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนกว่าเดิม ที่สำคัญคือสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และนำไปใช้งานได้จริงแบบจอสระอึ้ง
จึ้งแรกเริ่มต้นจากการผลิต เชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน หรือ Sustainable Aviation Fuel (SAF) ได้เป็นครั้งแรกในไทย! อย่างที่แอบกระซิบๆ ไปตอนแรกว่า SAF นี้เกิดขึ้นและถูกใช้จริงแล้วในประเทศไทย กับเที่ยวบินพาณิชย์ของบางกอกแอร์เวย์ส และที่บอกว่า SAF เป็นเชื้อเพลิงที่ยั่งยืนก็เพราะว่าสามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากการบินได้สูงสุดถึง 80% เลยนะ คือแค่ใช้ SAF ปุ๊บ ก็ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ได้ปั๊บ ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายปรับเครื่องยนต์เครื่องบินใดๆ ทั้งนั้น
เล่ามาขนาดนี้แล้วใครไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าน้ำมันที่เหลือจากทอดไข่ดาวเมื่อวาน สามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานสะอาดพาเราบินเที่ยวไทยแบบเหนือจรดใต้ได้เลย!

ต่อยอดอย่างยั่งยืน จากก้นครัวสู่หลากหลายผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน
ยังไม่จบกับภาคต่อความเริ่ดของ Biorefinery ครบวงจรจาก GC เพราะความยั่งยืนที่เกิดจากการพัฒนาโรงกลั่นชีวภาพครบวงจรนี้ไม่ได้จบอยู่แค่บนน่านฟ้า แต่ครอบคลุมลงมาถึงภาคพื้นกับหลากหลายผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันด้วย เพราะโรงกลั่นนี้สามารถเอาน้ำมันพืชใช้แล้วมาผ่านกระบวนการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ (Bio-Chemicals) และพลาสติกชีวภาพ (Bio-Polymers) ที่มีมูลค่าทางตลาดและยั่งยืน เพราะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
บางคนไม่ได้เรียนสายวิทย์มาตรงๆ อาจจะแอบงงตอนได้ยินชื่อผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพกับพลาสติกชีวภาพไปบ้าง งั้นแอบใบ้ให้ดีกว่าว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้เอาไปส่วนประกอบในการผลิตเป็น… ของเล่นเด็ก ยางรถยนต์ รองเท้ากีฬา ขวดน้ำดื่ม PET หรือกระทั่งเสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยโพลีเอสเตอร์ พอบอกแบบนี้ค่อยรู้สึกคุ้นเคย ดูเป็นสิ่งที่จับต้องได้ใช้ในชีวิตประจำวัน และใกล้ตัวเรามากๆ เลยใช่ไหมล่ะ
ลองคิดดูเล่นๆ นะว่า รองเท้ากีฬากับเสื้อผ้าที่เราใส่ ขวดเครื่องดื่มที่เราซื้อหาจากร้านสะดวกซื้อ หรือของเล่นที่เราเอาไปรับขวัญหลานๆ ส่วนนึงถูกผลิตจากน้ำมันพืชใช้แล้ว ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ที่หลังใช้แล้วก็กลายเป็นของเสียกำจัดยาก แต่เมื่อนำมาผ่านกระบวนการใหม่ ก็ได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่คุณภาพไม่จากการผลิตจากพลังงานฟอสซิลแบบเดิมๆ เลย
นี่แหละคือนิยามความยั่งยืนจากโรงกลั่นชีวภาพแบบครบวงจรของ GC กับเป้าหมายการเป็นผู้นำธุรกิจคาร์บอนต่ำที่ทำให้เกิดขึ้นจริงได้แล้ววันนี้

เส้นทางความยั่งยืนที่ไม่ได้เดินเพียงลำพัง
ตบมือข้างเดียวไม่ดังฉันใด เป้าหมายใหญ่ๆ ก็ทำสำเร็จไม่ได้ด้วยตัวคนเดียวเหมือนกัน เช่นเดียวกับหมุดหมายความยั่งยืนขององค์กร ที่ต้องมีเพื่อนคู่คิด มิตรที่ร่วมจับมือพัฒนาเดินหน้าไปพร้อมกันถึงจะสำเร็จได้
และเหล่าเพื่อนที่อยู่เคียงข้างความสำเร็จ Biorefinery และเชื้อเพลิง SAF ของ GC คือการร่วมมือของพันธมิตรสำคัญอย่าง OR การบินไทย และบางกอกแอร์เวย์ส ที่ช่วยผลักดันให้ SAF ไม่ใช่แค่ดรีมโปรเจกต์ แต่คือฝันเป็นจริงเพราะสามารถนำ SAF มาเป็นพลังงานที่ถูกใช้งานจริงในสายการบินชั้นนำของไทย เรียกได้ว่าทำให้เราเห็นแนวทางการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการบินไทยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นนั่นเอง
นอกจากพันธมิตรองค์กรยักษ์ใหญ่ระดับประเทศแล้ว GC ยังมีอีกหนึ่งกลุ่มความร่วมมือสำคัญ นั่นคือ “Community Waste Hub” ที่จัดตั้งร่วมกับชุมชนในจังหวัดระยอง เพื่อเก็บรวบรวมน้ำมันพืชใช้แล้วจากครัวเรือนมาเข้ากระบวนการแปรรูป เป็นคอมมูนิตี้ที่นอกจากจะช่วยสร้างรายได้เสริมให้คนจากชุนชนในพื้นที่แล้ว ยังช่วยสร้างภาพที่ยึดโยงกับ Biorefinery ให้ผู้คนเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ‘ความยั่งยืน’ ได้ชัดเจนมากขึ้นด้วย

เปลี่ยนของเหลือใช้ ให้เป็นอนาคตที่ยั่งยืน
หลายคนคงไม่คิดเลยใช่ไหมว่าแค่น้ำมันพืชใช้แล้วที่เราเททิ้งได้แบบไม่เสียดาย จะกลายเป็นขุมทรัพย์พลังงานสะอาดแห่งอนาคต ที่ทำให้เครื่องบินบินได้ และต่อยอดมาเป็นสารพัดของใช้ในชีวิตประจำวันได้มากมายขนาดนี้
ซึ่งการเป็นผู้ผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืนรายแรกของไทย หรือการเป็นผู้ผลิตรายเดียวที่ใช้โรงกลั่นเดียวกันผลิตได้ครบทั้งเชื้อเพลิง เคมีชีวภาพ และพลาสติกชีวภาพ ไม่ได้สะท้อนแค่ภาพความสำเร็จของการพัฒนาทางเทคโนโลยีของ GC เท่านั้น แต่ยังช่วยตอกย้ำบทบาทของ GC ในฐานะผู้นำนวัตกรรมที่ทำให้โลกสะอาดขึ้นด้วย
เพราะ Biorefinery ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีใหม่ๆ แต่คือนวัตกรรมที่เปลี่ยนของเสียเหลือใช้ให้เป็นอนาคตที่ยั่งยืนของเราทุกคนได้จริงๆ