ขึ้นชื่อว่าความลับไม่มีในโลก
รู้ไหมว่าเบลเยียมเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีความมั่งคั่งทางวัฒนธรรมการดื่ม ว่ากันว่าเมื่อ 575 ปีก่อน ที่นี่มีสูตรเครื่องดื่มประเภทเบียร์มากกว่า 700 ชนิด หนึ่งในสูตรที่ได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบันก็คือ เครื่องดื่มวีทเบียร์ผสมราสเบอร์รี หรือแบรนด์ที่เรารู้จักกันว่า Hoegaarden rosée (อ่านว่า ฮูการ์เด้น โร-เซ่)
วันนี้ The MATTER จะพามาเปิดตำราเครื่องดื่มวีทเบียร์ผสมราสเบอร์รี ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอะไร แล้วทำไมรสชาติแสนพิเศษนี้ถึงได้ครองใจคนทั่วโลกมาถึงปัจจุบัน
สูตรลับที่เกิดจากความบังเอิญ
ถ้าไม่ใช่ความบังเอิญก็คือพรหมลิขิต เพราะการพบกันระหว่างเครื่องดื่มวีทเบียร์และผลไม้ราสเบอร์รีนั้น มีเรื่องราวมาจากค่ำคืนหนึ่งในหมู่บ้านฮูการ์เด้นที่ชาวบ้านกำลังจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองประจำปีกันอยู่ เป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก ถึงขนาดที่ว่าผู้คนออกมาเฉลิมฉลอง ดื่มด่ำจนแก้วในบาร์หมด ชาวบ้านจึงนำกระปุกแยมที่มีอยู่มาใส่แทน
ด้วยความเพลิดเพลินของชาวบ้านจึงไม่ทันสังเกตว่าในกระปุกนั้นยังมีแยมหวานๆ นอนก้นอยู่ ทันทีที่เครื่องดื่มวีทเบียร์รสดั้งเดิมของหมู่บ้านฮูการ์เด้นมาผสมเข้ากับแยม ก็เกิดเป็นรสชาติหอมหวานที่ทุกคนติดใจ และประหลาดใจกับรสชาติใหม่ที่เกิดขึ้น
เพราะราสเบอร์รีคือหัวใจหลักของ rosée
รสชาติใหม่ที่เกิดขึ้นในวันนั้นกลายเป็นกระแสดังที่ชาวบ้านและนักบวช (ซึ่งเป็นนักปรุงเบียร์ในสมัยโบราณ) ถึงกับประกาศนัดประชุมเพื่อเสาะหาที่มาว่านี่คือรสชาติอะไร ทำไมเครื่องดื่มปริศนาถึงมีรสชาติอร่อยถึงเพียงนี้
คำตอบที่ได้ก็คือ แยมที่ชาวบ้านหยิบมานั้นมีส่วนผสมของผลไม้ที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยวอย่างราสเบอร์รีนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ในยุคนั้นยังไม่ได้มีการตั้งชื่อเครื่องดื่มปริศนานี้อย่างเป็นทางการ แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปก็คือชาวบ้านนิยมนำกระปุกแยมมาใส่เครื่องดื่มเป็นประจำ จนกระทั่งสิ่งนี้ถูกพัฒนากลายเป็นแก้วทรงหกเหลี่ยมประจำหมู่บ้านฮูการ์เด้น ก่อนที่จะถูกต่อยอดสร้างสรรค์แบรนด์จนกลายเป็น Hoegaarden rosée ในปัจจุบัน
สารพัดตำนานในหลายวัฒนธรรม
จริงๆ แล้วราสเบอร์รีเป็นผลไม้ที่นิยมปลูกในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวกันมานาน ทำให้มีตำนานเล่าขานมากมายจากหลากหลายประเทศ อย่างวัฒนธรรมกรีกเชื่อว่าสมัยก่อนผลราสเบอร์รีไม่ได้เป็นสีแดงอย่างปัจจุบัน แต่เกิดจากเลือดของเทพ Ida (นางพยาบาลประจำตัวเทพซุส) ที่เผลอไปโดนหนามต้นราสเบอร์รีเกี่ยวจนเลือดหยดลงบนผลสีขาวจนกลายเป็นสีแดง
หรือในศาสนาคริสต์ก็มีตำนานเชื่อว่าราสเบอร์รีเป็นสัญลักษณ์แห่งความเมตตากรุณา เพราะน้ำสีแดงของราสเบอร์รีเปรียบเสมือนสายโลหิตของมนุษย์ที่ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ผ่านศูนย์กลางอย่างหัวใจที่เป็นต้นธารของความกรุณา
ผลไม้สีแดงนี้จึงไม่ใช่แค่ผลไม้ธรรมดา แต่เต็มไปด้วยความผูกพันกับผู้คนในหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก
6+1 สูตรสำคัญที่ประกอบมาเป็น rosée
อย่างที่ทราบกันแล้วใน EP1: The Secret of Perfect Taste รสชาติดั้งเดิมของเครื่องดื่มวีทจากหมู่บ้านฮูการ์เด้นมีส่วนผสมหลัก 6 อย่างคือ ข้าวสาลี, น้ำแร่ธรรมชาติ, ฮ็อป, ยีสต์, เปลือกส้มเคียวราเซา (Curacao) และเมล็ดผักชี หมักบ่มกันจนเกิดเป็นรสชาติเฉพาะตัว
แต่สิ่งที่ทำให้ rosée กลายเป็นเครื่องดื่มที่พิเศษ เพราะความคิดสร้างสรรค์ของ Brewmaster หรือนักปรุงเบียร์ที่ค้นหาสูตรวีทเบียร์ผสมราสเบอร์รีแบบจริงจัง เพื่อให้ได้ทั้งสีและรสชาติที่แตกต่างจากเครื่องดื่มทั่วไป
ผลลัพธ์ก็คือ การเพิ่มเติมส่วนประกอบสำคัญอีก 1 อย่าง คือราสเบอร์รีสายพันธุ์ที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ เกิดเป็นสูตร 6+1 ที่ให้รสชาติใหม่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
Rubusidaeus Willamette ราสเบอร์รีสายพันธุ์ดีที่สุดจากแหล่งธรรมชาติ
นักบวชจากหมู่บ้านฮูการ์เด้นมีความคิดสร้างสรรค์เฉพาะตัวมากๆ อย่างรสชาติดั้งเดิมก็ได้นำเครื่องเทศจากซีกโลกฝั่งตะวันออก (เปลือกส้มเคียวราเซาและเมล็ดผักชี) มาเป็นส่วนประกอบจนเกิดรสชาติใหม่ขึ้นมา
พอมาถึงการคัดเลือกหัวใจของ rosée อย่างราสเบอร์รี พวกเขาก็เสาะหาวัตถุดิบคุณภาพชั้นเลิศมาเป็นส่วนประกอบ นั่นก็คือ Rubusidaeus Willamette ราสเบอร์รีสายพันธุ์แท้ที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว หาได้จากแหล่งปลูกธรรมชาติบริเวณ South Tynol ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ดินแดนตรงนี้ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาแอลป์ ทำให้พื้นดินอุดมสมบูรณ์ และน้ำสะอาดบริสุทธิ์
ไม่แปลกใจเลยที่บริเวณนี้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นแหล่งเพาะปลูกธรรมชาติที่ดีที่สุดในโลก ฉะนั้นราสเบอร์รีที่ปลูกที่นี่จึงดีที่สุดในโลกเช่นกัน
สรรพคุณของราสเบอร์รีที่มีมากกว่าวิตามิน
มีวิตามิน C (สูงกว่าส้ม), วิตามิน A, แคลเซียม, โพแทสเซียม และไฟเบอร์สูง นี่คือสรรพคุณของราสเบอร์รีที่เราสามารถค้นเจอจากความรู้ทั่วไป แต่ความลับอย่างหนึ่งของราสเบอร์รีก็คือมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าผลไม้เกือบทุกชนิด ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เราห่างไกลโรคมะเร็ง
นอกจากนี้ราสเบอร์รียังมีแคลอรีต่ำ ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอล และสามารถยังลดระดับไขมันได้ ทำให้ทานแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องไขมัน ถึงขนาดมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่า ราสเบอร์รีสามารถช่วยเบิร์นได้
เพราะเคมีธรรมชาติในผลไม้ชนิดนี้โดยเฉพาะ ราสเบอร์รี คีโตน (Raspberry Ketone) จะช่วยเผาผลาญเซลล์อ้วนในร่างกาย เพิ่มการทำงานของเอนไซม์ ช่วยลดความเสี่ยงของผู้ที่เป็นโรคอ้วนและลดไขมันเกินในตับ เรียกได้ว่าเป็นผลไม้เล็กๆ ที่คุณประโยชน์ไม่เล็กตามเลย
จัดเก็บราสเบอร์รีสดแบบมืออาชีพ
หลังจากเก็บเกี่ยวราสเบอร์รีสายพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลกมาแล้ว การรักษาความสดใหม่ก็เป็นสิ่งที่ต้องพิถีพิถัน ราสเบอร์รีสดๆ จากฟาร์มจึงถูกย้ายมาเก็บในโรงงานผลิต ปรับอุณหภูมิราว 5-10 องศาให้เหมาะสมเพื่อคงความสด ก่อนที่จะนำไปผลิตในขั้นตอนต่อไป
กรรมวิธีในการผลิต Raspberry Wheat Beer
กระบวนการหมักบ่มถือเป็นขั้นตอนการผลิตที่สำคัญ เพราะการบ่มจะส่งผลต่อรสชาติเครื่องดื่มเสมอ ซึ่งนักบวชของหมู่บ้านฮูการ์เด้นใส่ความพิถีพิถันในทุกๆ ขั้นตอน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสกัด (Extract) เพื่อดึงเอารสชาติอร่อยแบบหวานอมเปรี้ยว และกลิ่นหอมของราสเบอร์รีจากธรรมชาติออกมาให้มากที่สุด
ก่อนที่จะทำการหมักบ่มแบบลอยผิว (Double Fermentation) ถึง 2 ครั้ง แล้วบรรจุลงขวดทันทีโดยไม่ผ่านการกรองใดๆ (Unfiltered) ด้วยเหตุนี้เครื่องดื่มวีทเบียร์ผสมราสเบอร์รีจึงมีเอกลักษณ์สีแดงขุ่นโดยธรรมชาติ รสชาติหวานอมเปรี้ยว ฟองนุ่มละเอียด กลิ่นหอมราสเบอร์รีจากธรรมชาติ แบบที่เราเห็นนั่นเอง
เสริมสุนทรียะผ่านดีไซน์ภาชนะ Packaging
กว่าที่จะมาเป็นแบรนด์ rosée อย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน เครื่องดื่มวีทเบียร์ผสมราสเบอร์รีสูตรพิเศษจากหมู่บ้านฮูการ์เด้นก็เคยผ่านการรีดีไซน์ครั้งใหญ่มาแล้วหนึ่งครั้ง โดยล่าสุดได้เผยโฉมรูปลักษณ์ใหม่ทั้งหมด ซึ่งถูกออกแบบโดย ZX Ventures หน่วยงานคิดค้นผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่สังกัดอยู่ภายใต้บริษัท AB InBev
ผลลัพธ์ก็คือการเลือกใช้โทนสีแดงทับทิม (Red Ruby) พื้นหลังสีโลหะขาว (White Metallic) ผสมผสานภาพวาดลายเส้นผลราสเบอร์รีสีแดงสดบริสุทธิ์ ที่สร้างสรรค์โดยศิลปินชื่อดังชาวอิตาลีทั้งขวดและกระป๋อง เสริมสร้างภาพลักษณ์การเป็นแบรนด์เครื่องดื่มวีทเบียร์พรีเมียมคุณภาพระดับโลก
บรรจุภัณฑ์ก็สำคัญไม่แพ้รสชาติ
ความลับของ rosée ไม่หมดเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงบรรจุภัณฑ์ที่ใส่เครื่องดื่มก็ต้องมีความพิเศษไม่แพ้กัน โดยเฉพาะแก้วที่ต้องเป็นแก้วทรงหกเหลี่ยมคล้ายกระปุกแยมแบบดั้งเดิม
นอกจากจะเป็นการสืบสานวัฒนธรรมการดื่มจากกระปุกแยมแบบดั้งเดิมแล้ว แก้วหกเหลี่ยมยังช่วยป้องกันอุณหภูมิจากมือไปกระทบเครื่องดื่ม ส่วนปากแก้วที่กว้างก็จะช่วยให้เราซึมซับความหอมของราสเบอร์รีได้อย่างเต็มที่
ส่วนบรรจุภัณฑ์แบบอื่นๆ อย่างขวดแก้วก็มีการผลิตเป็นทรงขวดแชมเปญ 750 ml. หรือการผลิตกระป๋องยาว 500 ml. ขึ้นมาใหม่ (จากเดิมที่มีแค่ขนาด 330ml.) เพื่อตอบโจทย์ที่ลูกค้าโซนเอเชียนิยมนั่นเอง
ไม่ใช่แค่ของหวาน แต่ยังทานคู่กับอาหารได้ด้วย
ด้วยความหอมหวานจากราสเบอร์รี ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเครื่องดื่มชนิดนี้เหมาะสำหรับการดื่มคู่กับขนมหวานจำพวกขนมเค้กเท่านั้น แต่ความจริงแล้วเรายังสามารถทานคู่กับอาหารซีฟู้ดหรือสเต็กเนื้อต่างๆ ได้อีกด้วย
นั่นก็เพราะรสชาติหวานอมเปรี้ยวของราสเบอร์รีมีคุณสมบัติเฉพาะตัวในการลดความเลี่ยนจากของมันๆ อย่างที่บอกว่าสรรพคุณของมันสามารถควบคุมคอเลสเตอรอล และยังสามารถลดระดับไขมัน รวมไปถึงความหวานอมเปรี้ยวของเครื่องดื่มก็จะช่วยชูรสชาติเด่นของอาหารที่ทานคู่กันด้วย
ฉะนั้นจึงไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวใดๆ ว่าเราจะดื่มคู่กับอาหารอะไร เพราะเราสามารถเลือกทานคู่กับอะไรก็ได้ในทุกโอกาสเลย
เครื่องดื่มยอดนิยมอันดับ 1 กับการวางจำหน่ายมากกว่า 80 ประเทศทั่วโลก
จากเครื่องดื่มในหมู่บ้านเล็กๆ ของประเทศเบลเยียม เติบโตมาเป็นแบรนด์พรีเมียมที่มีจำหน่ายมากกว่า 80 ประเทศทั่วโลก การันตีได้ถึงความสำเร็จของแบรนด์เครื่องดื่มวีทเบียร์ผสมราสเบอร์รีเป็นอย่างดี นอกจากนี้การนำราสเบอร์รีมาผสมกับสูตรดั้งเดิม นับเป็นความคิดสร้างสรรค์ในการต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้มีความแปลกใหม่และมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างไม่เหมือนใคร
ปัจจุบันเครื่องดื่มวีทเบียร์จากหมู่บ้านฮูการ์เด้นได้มีวัตถุดิบจากธรรมชาติสารพัดมาเป็นองค์ประกอบมากมาย อาทิ ผลไม้ตระกูล Citrus, Agrum, Grapefruit, Cherry Blossom และ Green Grape ต่างๆ ซึ่งในประเทศไทยมีจำหน่ายแบบดั้งเดิมและแบบผสมราสเบอร์รีแล้ว เร็วๆ นี้กำลังจะมีรสชาติใหม่ที่เหมาะกับช่วง Summer นี้โดยเฉพาะอีกด้วย
ติดตามการต่อยอดของเครื่องดื่มวีทเบียร์จากหมู่บ้านฮูการ์เด้นได้ใน Episode 3