การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่เพียงแค่รูปแบบการสร้างครอบครัวที่สะดวกสบายเข้ากับยุคสมัยมากขึ้น หากแต่ยังรวมไปถึงวิถีชีวิต ความคิด ความเชื่อ ตลอดจนความสัมพันธ์ และบทบาทหน้าที่ต่อกันที่ก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
จากเดิมที่ผู้ชายเคยเป็นฝ่ายออกไปทำงานนอกบ้าน หาเงินกลับมาให้ฝ่ายหญิงที่ไม่ได้ทำงานคอยควบคุมจัดการดูแลเรื่องความเป็นอยู่ภายในครอบครัว พ่วงไปด้วยหน้าที่ดูแลปัดกวาดเช็ดถู ตระเตรียมเสื้อผ้าสะอาด เข้าครัวทำอาหาร เลี้ยงดูลูกเต้า เหมาบุฟเฟ่ต์งานบ้านครบครันตั้งแต่ตื่นเช้ายันเข้านอน เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป โลกเปิดกว้างให้ผู้หญิงได้มีโอกาสออกมาแสดงความสามารถนอกบ้านมากขึ้น และคุณสมบัติแม่ศรีเรือนก็ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการเลือกคู่ครองอีกต่อไป คำถามที่น่าสนใจไม่แพ้การทวงถามหาความเท่าเทียมทางเพศในแวดวงต่างๆ นอกบ้าน ก็เห็นจะเป็นคำถามเรื่องความเท่าเทียมสำหรับเรื่องพื้นฐานอย่างหน้าที่ของการทำงานบ้านนี่เอง
เพราะแม้ว่าโลกจะก้าวไปไกลแค่ไหน แต่ค่านิยมที่น่าเพลียใจอย่างผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายทำงานบ้านยังคงฝังรากลึกอยู่ในใจของคนจำนวนหนึ่งเงียบๆ เห็นได้จากบรรดากระทู้ และความคิดเห็นในกระทู้ตามเว็บบอร์ด ตลอดจนสื่อโซเชียลต่างๆ ของผู้ชายส่วนหนึ่งที่มองว่ายังไงงานบ้านก็เป็นหน้าที่ของผู้หญิง (แม้จะมีพ่อบ้านบางคนที่ตกอยู่ในสภาพกลับกัน หรือเรียกง่ายๆ ว่ามีไลฟ์สไตล์เป็นทาสภรรยาอยู่ประปรายก็ตามที) ด้วยข้ออ้างที่ฟังดูไม่เข้าทีอย่าง
สามีทำงานมาเหนื่อยๆ กลับบ้านมาก็อยากพักผ่อน
สำหรับครอบครัวข้าวใหม่ปลามันหมาดๆ ที่แยกตัวออกมาเป็นครอบครัวเดี่ยว โดยเฉพาะในสังคมเมืองที่ค่าใช้จ่ายชวนกระอักเช่นทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอีกต่อไปที่ทั้งสามีและภรรยาต่างเป็นฝ่ายต้องออกไปทำงานนอกบ้านด้วยกันทั้งคู่ เพื่อให้พอกับค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าเทอมลูก ฟิกเกอร์คุณพ่อบ้าน เครื่องสำอางแม่กวางน้อย ไปยันค่าใส่ซองงานบวชหลานงานแต่งเพื่อนที่ประดังประเดเข้ามาราวกับมีบรรพบุรุษเป็นเครื่องพิมพ์แบงก์ และในเมื่อต่างคนต่างก็ต้องทำงานนอกบ้านเช้าจรดค่ำ แปลว่าต่างฝ่ายต่างก็เหนื่อย การที่ผู้ชายจะอ้างว่าทำงานนอกบ้านจนเหนื่อยแล้วผลักภาระไปให้ผู้หญิงทั้งหมดแบบยุคแม่พลอยสี่แผ่นดินนั้นเห็นทีจะฟังดูไม่แฟร์สักเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อครอบครัวเริ่มมีลูกน้อย จากภาระที่ต้องรับผิดชอบดูแลสองชีวิต ก็ต้องเพิ่มเป็นสาม สี่ ห้า ชนิดว่ารู้ตัวอีกทีก็ก็กลายไปอยู่ลำดับสุดท้ายของห่วงโซ่อาหารเสียแล้ว
ผู้ชายทำงานบ้านนั้นเสียศักดิ์ศรี
ประโยคยอดฮิตประโยคหนึ่งที่เรามักได้ยินบ่อยๆ เวลาผู้ชายปฏิเสธที่จะหยิบจับงานบ้านตั้งแต่ยุคโบราณกาลมาก็เห็นจะเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี โดยเฉพาะความเชื่อประเภท ผู้ชายซักผ้าภรรยาเดี๋ยวของเสื่อม ทั้งๆ ที่ ‘ศักดิ์ศรี’ หรือ ‘ของ’ ก็ไม่น่าจะใช่สิ่งที่ล้างออกได้อย่างง่ายดายเพียงแค่แตะโดนน้ำยาล้างจานหรือผงซักฟอกเท่านั้น ไม่ว่าความเชื่อของคนในสมัยก่อนจะเป็นอย่างไร แต่สำหรับในยุคที่ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนควรจะเท่าเทียมกันอย่างทุกวันนี้ ค่าของศักดิ์ศรีจึงไม่ควรแขวนอยู่กับการทำหรือไม่ทำงานบ้าน หากแต่ควรขึ้นอยู่กับการรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ควรมีร่วมกันอย่างเท่าเทียมมากกว่า
เหนื่อยนักก็พักหาตัวช่วย
แม้การทำงานบ้านจะเป็นเรื่องที่เหนื่อยยาก เปลืองเวลา เปลืองพลังกายพลังใจสักแค่ไหน แต่ในเมื่อบ้านหนึ่งหลัง ครอบครัวหนึ่งครอบครัวประกอบขึ้นจากคนสองคน หน้าที่การดูแลบ้านให้เป็นบ้านก็จึงควรเป็นภาระรับผิดชอบร่วมกันของคนทั้งคู่ หรือหากหน้าที่นั้นเหนื่อยเกินกำลังอยู่สักหน่อยการจะหาตัวช่วยอย่างแม่บ้านดีๆ สักคน ร้านซักรีดที่ไว้ใจได้ หรืออุปกรณ์ทุ่นแรงที่ตอบโจทย์ชีวิต ก็เป็นทางออกที่ฟังดูประนีประนอมกว่าการโยนภาระไปให้ใครคนใดคนหนึ่ง
ซึ่งเราก็มีตัวอย่างเครื่องมือทุ่นแรงที่ช่วยลดความเหนื่อยยากเหล่านั้นมาฝากอยู่หนึ่งชิ้น กับนวัตกรรมที่มีชื่อว่า เครื่องซักผ้า LG TWIN Wash™ เครื่องซักผ้าที่ผสานสองถังซักไว้ในเครื่องเดียวช่วยให้การซักผ้าต่างประเภทเป็นไปได้ในเวลาเดียวกัน ทั้งผ้ากองโตในถังใหญ่ฝาหน้า และผ้าอีกส่วนในถังเล็กฝาบน มาพร้อมระบบสเปรย์น้ำระหว่างการซักและการล้างช่วยให้ซักผ้าเสร็จเร็วขึ้น โดยที่คงประสิทธิภาพการซักเท่าเดิม ตลอดจนการเคลื่อนที่ของถังซัก 6 ทิศทาง ช่วยให้ซักผ้าได้สะอาดเนี้ยบ ประหยัดเวลา ไม่ต้องมานั่งแช่ผ้า ขยี้คราบ แยกซักผ้าสี ผ้าขาว ผ้านวม ชุดชั้นใน ไปเป็นคราวๆ และแม้แต่เวลาอบผ้าตัวเครื่องก็ยังสามารถเลือกอบได้สองระบบแบบ Eco Hybrid Dry ที่ช่วยประหยัดน้ำ และระบบ Normal Dry ที่ช่วยประหยัดเวลา
นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมีนวัตกรรมระบบ True Steam ที่ใช้ไอน้ำร้อนความร้อนสูงกำจัดสารก่อภูมิแพ้และไรฝุ่น เหมาะสำหรับคนทำงานนอกบ้านที่แต่ละวันเสื้อผ้าต้องผ่านสมรภูมิฝุ่นควันจากท้องถนนจนสะสมไปด้วยเชื้อโรคที่เป็นต้นเหตุของการเจ็บป่วย และที่สำคัญยังตอบโจทย์ชีวิตยุค 4.0 ที่ทุกอย่างย้ายไปอยู่บนสมาร์ทโฟนเกือบหมดแล้ว ด้วย LG Smart ThinQ Application ที่ช่วยให้แม่กวางน้อยหรือคุณพ่อบ้านใจกล้าสามารถสั่งงานเครื่องซักผ้าได้ง่ายๆ จากระยะไกล โดยไม่ต้องพลาดบอลแมตช์สำคัญ หรือฉากตบจูบชวนสะท้านใจให้เสียอารมณ์ นอกจากนี้ในยามที่เครื่องซักผ้าเกิดขัดข้อง ก็ไม่จำเป็นต้องใจร้อนโทรเรียกช่าง (ที่ก็ไม่รู้ว่าจะว่างตรงกันเมื่อไหร่) อีกต่อไป
แต่สามารถวิเคราะห์ปัญหาเบื้องต้นด้วยตัวเองได้ง่ายๆ เพียงแค่เอาสมาร์ทโฟนไปแสกนกับเครื่องซักผ้า (อันนี้เรียกว่าล้ำหน้ายิ่งกว่านาทีสุดท้ายของบอลพรีเมียร์อีก) ผ่านฟังก์ชั่น Smart Diagnosis เรียกว่าตอบโจทย์ชีวิตครอบครัวยุคใหม่ครบทุกมิติ ทั้งด้านความสะดวกสบาย รวดเร็ว ประหยัดพลังงาน ประหยัดพื้นที่ ช่วยลดความยุ่งยากในชีวิตลงไปได้อีกหนึ่งเรื่อง
สุดท้ายแล้ว แม้เทคโนโลยีจะถูกออกแบบมาเพื่อแบ่งเบาภาระของครอบครัวให้เบาบางลงได้สักแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจช่วยประสานความสัมพันธ์และความรู้สึกของคนในบ้านได้ หากแต่ละคนยังไม่ปรับจูนทัศนคติในเรื่องของการทำงานบ้านให้ก้าวพ้นจากค่านิยมเดิมๆ ในยุคก่อน
เมื่อไหร่ก็ตามที่ใครคนใดคนหนึ่งเริ่มคิดหาเหตุผลในการชักเท้าหนีจากความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่งนี้ คำถามเดียวที่ควรต้องหยิบขึ้นมาเตือนตัวเองอยู่เสมอก็คือ ในเมื่อบ้านเป็น ‘ของเรา’ แล้วทำไมถึงต้องผลักภาระงานบ้านให้กลายไปเป็น ‘ของใคร’ คนใดคนหนึ่งด้วย