เชื่อว่าใครได้ที่ฟังเพลงของ เอิ๊ต – ภัทรวี ศรีสันติสุข อย่างเพลง ‘Sky&Sea’, ‘ถ้าฉันหายไป’ หรือ ‘ขอโทษดาว’ น่าจะรับรู้ได้ถึงบรรยากาศของธรรมชาติที่อยู่ในเนื้อเพลง และความสุขที่สัมผัสได้ในทุกอณูของเสียงดนตรี
จากนักร้องที่โด่งดังมาจากการโคเวอร์เพลงในยูทูบ ก่อนจะกลายเป็นศิลปินอาชีพที่มีเสียงร้องอันนุ่มละมุนและเสียงดนตรีที่เต็มไปด้วยความสุข ทำให้เธอกลายเป็นศิลปินสาวที่น่าจับตาที่สุดในเวลานี้
ลองไปสำรวจว่า อะไรคือแรงบันดาลใจและประกายของความสุข ที่นักร้องสาวคนนี้เก็บเกี่ยวแล้วมาถ่ายทอดให้คนฟังได้มีความสุขไปกับเสียงดนตรีของเธอ
ตอนแรกที่เริ่มต้นโคเวอร์เพลง อะไรเป็นแรงบันดาลใจ
ช่วงแรกมันเริ่มจากความสนุกล้วนๆ เลย คือเอิ๊ตบ้านไกลจากโรงเรียนมาก เราก็ต้องมานั่งเล่นกับตัวเอง แล้วตอนนั้นยังไม่ได้หัดเล่นกีตาร์เลยด้วยซ้ำ ก็ร้องเพลงกับตัวเอง ถ่ายวิดีโอตัวเอง เพราะเราสนุกกับการดูสิ่งที่มันออกมา ดูผลลัพธ์ที่เรานั่งทำสิ่งนี้อยู่ 3-4 ชั่วโมง แล้วมันจะออกมาให้เราได้เห็น คือสนุกมากๆ แล้วเราไม่ได้คาดหวังว่าทำวิดีโอเพื่อให้คนมาดู คือไม่เคยคิดว่ามันจะต้องอะไรยังไงเลย คือสนุกล้วนๆ เลย จริงๆ ช่วงแรกๆ คือดูเองโพสต์เอง มันเหมือนการเล่นสนุกของเรา สมมติว่าเพื่อนๆ สนุกกับการเตะบอล เราก็สนุกกับการร้องเพลงอยู่ในห้อง
แต่พอหลังจากนั้น มีคนเข้ามาดูมากขึ้น เริ่มรู้จักเอิ๊ตมากขึ้น มีคอมเมนต์ต่างๆ เข้ามา ยังสนุกเหมือนเดิมไหม
ความสนุกของเอิ๊ตในตอนนั้นคือ รู้สึกว่าเรายังเป็นเด็กคนหนึ่งอยู่ม.5-6 อาจจะต้องทำงานและเรียนหนังสือ แต่มีคนจากอีกซีกโลกหนึ่งที่ดูคลิปที่เราทำ แล้วเขาก็คอมเมนต์มา inbox มาบอกว่า ชอบเพลงนี้ที่เราทำ บางคนก็แบบติดต่อมาขอให้ทำเพลงนี้ให้เขาร้องหน่อย รู้สึกว่าความสุขของเราตอนนั้นคือการได้พูดคุยกับคนที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่ง ตอนเช้าเราก็เช็กคอม แล้วเราก็อ่านคอมเมนต์ที่ทำให้เรารู้สึกดี วันนั้นของเราจะเป็นวันที่ยิ้มไปทั้งวันเลย
แล้วในแง่ของตัวเอง รู้สึกเปลี่ยนไปไหม
รู้สึกเปลี่ยนไปนะ รู้สึกว่าเราอยากทำให้ดีขึ้น แต่จริงๆ เอิ๊ตเป็นคนค่อนข้างดื้อนะ คือรู้สึกว่าเราก็ยังอยากจะ based on กับความสุขของเราอยู่ อยากจะ based on สิ่งที่เราชอบ เพราะฉะนั้นใครจะรีเควสมายังไง เราก็ยังทำสิ่งที่ชอบอยู่ดี เพราะว่ามันคือการละเล่นของเรา มันคือวิธีการที่ทำในพื้นที่ของเราอยู่ ไม่ใช่พื้นที่ที่เราจะต้องทำให้เขาอย่างเดียว เหมือนเราทำให้ตัวเองมีความสุข เพราะเป็นพื้นที่ที่เราทำอะไรก็ได้
จากที่โคเวอร์เพลงในห้อง จนได้ออกไปร้องเพลงให้คนฟังข้างนอก อะไรคือสิ่งที่ได้เรียนรู้
จำได้ว่าครั้งแรกที่ได้ไปร้องเพลงและเล่นกีตาร์นอกบ้าน แล้วมีคนฟังมองตา ตัวสั่นไปทั้งตัวเลยนะ มือสั่นหยุดไม่ได้ ตอนที่ร้องเหมือนสมองมันหายไป เพราะตื่นเต้นมากๆ กับการที่เราทำตรงนี้ได้แค่หนึ่งเทค สื่อสารไปได้แค่หนึ่งครั้ง แล้วผู้ชมผู้ฟังเขายิ้มกลับมาให้เรา เอิ๊ตรู้สึกเปลี่ยนไปมากๆ เพราะปกติร้องเพลงอยู่ในห้องจะทำกี่เทคก็ได้ จะพลาดยังไงก็ได้ แต่การออกไปข้างนอกมันเป็นอีกศิลปะหนึ่งเลย เราต้องรู้สึกว่าความผิดพลาดเป็นสิ่งที่สวยงามได้เหมือนกัน เพราะเราไม่สามารถร้องเพลงเป๊ะทุกคำแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ มันจะต้องมีสักตัวแหละที่มันแป๊ก แค่ต้องข้ามมันไปให้เร็วมากๆ ก็เคยมีช่วงที่ไปเล่นข้างนอก แล้วรู้สึกว่าจุดนี้เราทำได้ไม่ดี ก็กลับมาวนคิดที่บ้าน ว่าถ้าย้อนกลับไปได้เราจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งสุดท้ายมันไม่ช่วยอะไรเลย คือเราต้องเข้าใจว่าการเล่นดนตรีสดเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอ ถ้าเราจริงใจกับโมเมนต์นั้นของเรา การทำพลาดบ้างก็ยังสวยงามอยู่
ความสวยงามที่ว่า ถ้าจะอธิบายออกมาให้เห็นภาพมากขึ้น จะออกมาเป็นรูปแบบไหน
ความสวยงามคือเราร้องไปแล้วทุกคนยิ้มให้ แล้วทุกคนก็ร้องกลับมาหาเรา มีเสียงปรบมือตอนท้ายเพลง คือเป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้สัมผัสเลย ถ้าเราอยู่แค่ในห้อง แต่พอเราได้ออกไป ได้เห็นฟีดแบ็กที่มันทันทีทันควัน ณ ขณะนั้น เรายิ้มไป เขายิ้มตอบมา เป็นสิ่งที่มนุษย์มากๆ เลย พอเวลาผ่านไป เราตกหลุมรักสิ่งนี้ ตกหลุมรักการได้ออกไปข้างนอก ได้ไปยืนข้างหน้าทุกคนที่เขาใจดีกับเราเหลือเกิน เขาอยากฟังเสียงของเรา รู้สึกว่าโชคดีมากที่ได้มีโอกาสไปยืนข้างหน้าตรงนั้น
พอเปลี่ยนสถานะจากนักร้องโคเวอร์ เป็นศิลปินเต็มตัว มีซิงเกิลเป็นของตัวเองแล้ว รู้สึกอย่างไร
รู้สึกว่านี่คือจุดที่เอิ๊ตอยากมาถึงมากที่สุด หมายถึงเราอยากร้องเพลง อยากถ่ายทอดอะไรออกไปให้คนฟัง เพราะจริงๆ แล้วเราอยากเป็นนักเล่าเรื่อง อยากเป็นคนที่เล่าเรื่องต่างๆ ในมุมของเรา คือเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนที่ร้องเพลงโคเวอร์แล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสได้ปลดปล่อยออกไป ซึ่งพอเราได้มาเป็นศิลปินอาชีพแล้ว รู้สึกว่าเราโชคดีมากที่งานอดิเรกกับงานจริงๆ มันเป็นเรื่องเดียวกัน ทุกวันนี้พอเรากลับมาจากไปเล่นข้างนอก ก็ยังนั่งเล่นดนตรีที่บ้านอยู่ หรือเวลาที่เรารู้สึกเครียดเราก็ยังร้องเพลงอยู่ เพราะฉะนั้นมันเป็นอะไรที่หนีไปไม่ได้เลย เรามีความสุขมากๆ กับการที่มันเป็นสิ่งเดียวกัน
อยากให้ยกตัวอย่างคอนเสิร์ตหรือสักโมเมนต์ที่ขึ้นเวทีไปแล้วประทับใจมากที่สุด
น่าจะเป็นมินิคอนเสิร์ตของตัวเอง ที่เอิ๊ตได้ร้องเพลงของตัวเองทุกเพลงเลย ความรู้สึกของเราคือมันยิ่งใหญ่มากๆ กับการที่คนๆ หนึ่งจะเดินทางมาดู รถก็ติด มันต้องใช้เวลานะ เขาต้องคิดว่าวันนี้ต้องเดินทางออกมาเพื่อดูคนๆ นี้ แล้วเราเป็นใครก็ไม่รู้ รู้สึกขอบคุณมากๆ ที่มีกลุ่มคนที่เขาอยากฟังเราจริงๆ เราจะพูดกับแฟนๆ ที่มาดูตลอดว่า ขอบคุณมากๆ ที่ให้โอกาสเราได้ทำในสิ่งที่รัก
ในขั้นตอนของการทำงานเพลง ชอบโมเมนต์ไหนมากที่สุด
คือจริงๆ แล้วรู้สึกชอบทุกจุดเลยนะ อย่างจุดที่นั่งคิดเพลงอยู่ในห้องอัด เหมือนเรากำลังปรุงอะไรสักอย่าง จะเลือกใส่เครื่องปรุงอะไร แล้วนาทีที่เอาเพลงนี้ออกไปให้คนได้ฟัง เหมือนเราได้เอาอาหารไปให้เขากิน แล้วเขาจะชอบหรือไม่ชอบก็ทำให้ตื่นเต้น หรือจุดที่มีคนร้องเพลงกลับมาให้เราได้ยิน นั่นคือเป็นอะไรที่มีความสุขที่สุดแล้ว เพราะว่ามันเป็นคำพูดที่ไม่เคยมีอยู่จริงเลย หมายถึงว่าเนื้อเพลงตรงนั้น เมโลดี้ตรงนี้ มันไม่เคยมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ แล้วเราสร้างมันขึ้นมาให้มันมีอยู่จริงแล้วตอนนี้ แล้วเราก็ได้ยินมันกลับมาหาเราอีกที มันทำให้หัวใจพองโตมากๆ เลย
มองว่าการออกไปข้างนอก ได้ไปสัมผัสธรรมชาติจริงๆ เป็นสิ่งจำเป็นไหม ในการเก็บเกี่ยววัตถุดิบตรงนั้นมาทำเพลง
การนั่งดูรูปท้องฟ้าเฉยๆ เราจะไม่ได้กลิ่น ไม่ได้สัมผัส เพราะความจริงมันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะมากๆ อย่างเช่น ไปเจอท้องฟ้าที่กำลังฝนจะตก เราจะได้กลิ่นฝนที่กำลังจะตก มีลมที่พัดเข้ามา แล้วขนเรามันก็ลุก มันคือประสาทสัมผัสที่ทำได้มากกว่าตาเห็นมากๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้เวลาอยู่ในห้องนอนแน่ๆ เวลาเราแต่งเพลงในห้องนอน บางทีก็คิดไม่ออกนะ ต้องปิดคอม ปิดหนังสือ ปิดทุกอย่าง แล้วออกไปปลดปล่อยตัวเอง ใช้ประสาทสัมผัสกับสิ่งรอบข้าง มันคือทุกอย่างที่เอิ๊ตเอามาใช้ในเพลงเลย เพราะว่าในการสร้างภาพขึ้นมาภาพหนึ่ง เราต้องเคยรู้สึกถึงภาพนั้นก่อน ต้องเคยหนาว ต้องเคยขนลุก ต้องเคยรู้สึกต่อมๆ ในหัวใจ ถ้าเราไม่เคยรู้สึก ไม่เคยสัมผัส เราจะไม่สามารถเขียนอะไรออกมาได้เลย
ดูเหมือนว่าเอิ๊ตจะมีความสุขกับการทำเพลง แล้วมีสิ่งอื่นๆ ในชีวิตไหม ที่ทำให้มีความสุขได้เหมือนกัน
สิ่งที่ทำให้เอิ๊ตรู้สึกว่ามีความสุขอยู่ในทุกวัน คือสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต อย่างการตื่นเช้า แล้วได้ทำขนมปังกิน มีความสุขมากๆ ที่ได้กินขนมปังในทุกๆ เช้า มันเป็น routine ที่เราเอ็นจอย ชอบตัวเองเวลาที่ผ่อนคลาย หรือบางครั้งที่รู้สึกว่าอยากไปข้างนอก ไม่ได้แปลว่าเราไม่ชอบสิ่งที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ คือเราไม่ใช่คนที่เชื่อว่า ถ้าทำงานแล้วไม่มีความสุข ต้องไปหาความสุขจากการไปเที่ยว แต่เรากลับรู้สึกว่าการออกไปเที่ยวเป็นอีกหนึ่งความสุข ที่เราจะกลับมาใช้ชีวิตได้สนุกมากขึ้นมากกว่า เพราะการออกไปเที่ยว ทำให้เราเห็นการใช้ชีวิตของคนที่อยู่อีกจุดหนึ่งที่เขามีชีวิตไม่เหมือนเรา แล้วเราก็ลองเก็บเอาสิ่งเหล่านั้นมาใส่ในตัวเรา หรือเอาปรับใช้ในชีวิตประจำวันของเรา
คือไม่ได้ออกไปเที่ยวเพื่อไปปลดปล่อย แต่ออกไปเพื่อไปเก็บกลับมาใช่ไหม
คือเอิ๊ตเชื่ออย่างนั้นนะ หมายถึงเราเชื่อว่าเราไม่ได้ไปเที่ยวเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากสิ่งที่อยู่ตอนนี้ เพราะว่าถ้าเป็นอย่างนั้น จะหมายความว่า เราทำงาน 30 วัน เพื่อเราจะได้มีความสุขเฉพาะวันที่ 31 จะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเกินไป แต่ถ้าเราทำให้ 30 วันที่เราใช้ชีวิตให้เหมือนการเที่ยวได้ไหม ทำให้เหมือนการเก็บประสบการณ์รอบข้างมาใส่ตัวเอง แล้ววันที่ 31 ที่เราได้ออกไปเที่ยว เราก็จะได้กลับมาใช้วันที่ 1 ใหม่ด้วยความสดใส เราเชื่อว่าความสุขมันควรจะอยู่ในทุกๆ วันที่เราใช้ชีวิต มากกว่าการออกไปหาความสุขข้างนอก ในขณะเดียวกันเวลาที่เราเครียดจริงๆ หรือปัญหาบางประเภทที่เราไม่ได้มี Solution ตลอดเวลา การไปเที่ยวมันคือการไปเห็นโลกที่ใหญ่ขึ้น ทำให้เราเห็นว่าทุกคนมีปัญหาหมดแหละ พอเราได้ไปคุยกับคนที่เขามีปัญหาอื่นๆ เราก็จะรู้สึกว่าโอเค จริงๆ แล้วปัญหาเรา มันไม่ได้เล็ก ไม่ได้ใหญ่ แต่มันปกติ มันธรรมดา เพราะฉะนั้นการออกไปเจออะไรใหม่ๆ เห็นอะไรที่ใหญ่ขึ้น เจอคนที่มีมุมมองใหม่ๆ เราจะได้อะไรกลับมาเสมอ
อย่างนี้เรียกว่าเป็นนิยามความสุขในแบบของเอิ๊ตเองหรือเปล่า
เรียกว่าคือความโชคดีของเอิ๊ตก็ได้ เพราะเราได้ทำในสิ่งที่รัก ทำให้ทุกๆ วันสนุกไปหมดเลย แล้วเราเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้ารู้สึกว่าตันเมื่อไหร่ เราจะไปทำในสิ่งที่เราอ่อนหรือไม่เก่ง เราจะสนุก อย่างช่วงที่ผ่านมา เคยคิดว่าเดี๋ยวจะลองเล่นสเก็ตบอร์ดดู ทำให้เราเหมือนเด็กอนุบาล หรือมีช่วงหนึ่งรู้สึกว่าอยากไปลองเรียนเย็บผ้า ทำให้เรากลายเป็นเด็กในสาขานั้นๆ อีกครั้ง การที่เราเป็นเด็กตลอดเวลา ทำให้เรารู้สึกว่าโลกนี้มันใหญ่ขึ้น ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมันก็เท่าเดิม เพราะว่ามันมีอีกหลายอย่างมากที่เราไม่เคยทำ
ส่วนตัวเอิ๊ตชอบไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษ
จริงๆ ทุกคนน่าจะเดาได้ว่าเอิ๊ตชอบทะเลมากๆ เราชอบโมเมนต์ที่อยู่บนห่วงยาง (หัวเราะ) แล้วค่อยๆ ลอยออกไปจากฝั่ง พอมันไกลขึ้นๆ ก็จะกลัวนิดหน่อย ว่ามาไกลไปหรือยัง (หัวเราะ) รู้สึกว่าเวลาที่ลอยๆ อยู่ มันเหมือนไม่มีความเครียดอะไรเลย เหมือนไม่ค่อยมีแรงโน้มถ่วง ตัวไม่ค่อยหนัก ชอบโมเมนต์นั้น เวลาที่มองออกไปที่ปลายทะเลอีกฝั่ง ตาเราก็จะอยู่ขนานกัน ทำให้เรารู้สึกว่าโลกมันใหญ่มากเลยนะ
วิธีการที่ได้มาซึ่งความสุขในแบบฉบับของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่าสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวอย่างธรรมชาติ คือประกายความสุขที่ทุกคนสามารถเก็บเกี่ยวและสร้างความสุขในแบบฉบับของตนเองได้ไม่ต่างกัน ซึ่งตรงกับปรัชญา Lykke หรือประกายแห่งความสุข ที่ชาวสแกนดิเนเวียนใช้ในการดำเนินชีวิต ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงวิถีการสร้างความสุขได้
เช่นเดียวกันกับแปรงสีฟัน Jordan ที่ดึงเอาปรัชญางานดีไซน์แบบนอร์ดิก เข้ามาสร้างสุนทรียะให้กับการแปรงฟัน ตั้งแต่เรื่องความงามไปพร้อมกับฟังก์ชั่นการใช้งาน ที่ตอบรับกับทุกรายละเอียดในช่องปาก เปลี่ยนกิจวัตรประจำวันอย่างการแปรงฟัน ให้กลายเป็นประกายแห่งความสุขที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ในทุกๆ วัน
พิเศษ ส่วนลดแปรงสีฟัน Jordan 30% เพียงใส่โค้ด
Code: JDINDV สำหรับแปรงสีฟันอินดิวิดวล รีช อัลตร้าซอฟท์
ดูเงื่อนไขและรายละเอียดโปรโมชั่นได้ที่ https://bit.ly/2TLJg0N
สามารถใส่โค้ดได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 ก.ย. 62 เท่านั้น
จอร์แดน สนับสนุนให้ทุกคน ค้ นหาความสุขกับแปรงสีฟันที่ใช่ สไตล์คุณ
พบความสุขเล็ก ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ในทุกขณะ แบบ Scandinavian Style กับ Jordan ได้ที่ https: //www.facebook.com/ jordanthailand/