พอพูดถึงคำว่า ‘ตัวตน’ มักจะมาพร้อมกับการที่ต้องค้นหาให้เจอ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่ต้องการการยอมรับจากคนหมู่มาก ตัวตนของเราทั้งอุปนิสัย ความสามารถ หน้าที่การงาน และรสนิยมอันแตกต่าง ที่จะบอกได้ว่า “ฉันยืนอยู่ตรงนี้นะ” เพื่อจะกลายเป็นจุดสนใจให้สังคมส่องไฟไปถึงและให้ความสำคัญ
ในขณะเดียวกันคำว่า ‘ตัวตน’ อาจไม่ได้หมายถึงความแตกต่างแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงความมั่นใจที่จะเป็นแบบนั้น ความแตกต่างโดยที่ไม่ต้องพยายามจึงน่าจะเป็นสิ่งที่สื่อถึงตัวตนได้ชัดเจนมากกว่า จึงไม่แปลกที่จะเห็นแบรนด์สินค้าแฟชั่นเลือกที่จะดีไซน์สินค้าของตนเองให้ตอบโจทย์และแมตช์เข้ากับตัวตนของผู้ใช้ให้มากที่สุด
The MATTER จึงชวน พัด-ชนุดม สุขสถิตย์ นักร้องนำแห่งวงชนุดมและนักแสดงละครเวที ที่ได้ชื่อว่ามีบุคลิกทั้งชายและหญิงรวมอยู่ในคนเดียวกันยามที่โลดแล่นอยู่บนเวที มาพูดคุยถึงประเด็นเรื่องเพศสภาพและการเป็นตัวของตัวเองที่เป็นมาตั้งแต่เกิด การรับมือกับสังคมรอบข้าง และยอมรับในตัวตนของตัวเอง ที่ทำให้เธอมีความสุขกับชีวิตในแบบที่เป็น
อยากให้เล่าถึงชีวิตตอนเด็กว่าเป็นอย่างไรเทียบกับทุกวันนี้มันต่างกันมากไหม
คือตั้งแต่ตอนเด็กคุณพ่อคุณแม่จะเป็นคนที่ซัพพอร์ตทุกเรื่องที่เราอยากทำ มีความสุขกับอะไรก็ทำแบบนั้น ทำให้เราได้เป็นตัวเองตั้งแต่เด็กๆ หมายถึงเรื่องทางเพศด้วย เขาไม่เคยมาค้านว่าเราจะต้องเป็นเพศไหน เขาก็จะบอกตลอดว่าถ้าลูกอยากเป็นแบบนี้ ลุยเลย เต็มที่เลย และด้วยความที่เขาเป็นคนที่ชอบสังสรรค์ เขาจะชอบให้เราขึ้นบนเวที แล้วก็เอ็นเตอร์เทนคนอื่นให้มาสนุกกับเขา เราก็ได้ความสุขจากตรงนั้น แต่พอโตมามันก็ยังไม่ต่างไปในเรื่องของทัศนคติตรงนี้ ในเรื่องของการที่เป็นตัวเองแล้วมีความสุข แต่ว่าสิ่งที่มันต่างไปคือเราแคร์คนรอบข้างมากขึ้น เรารู้สึกว่าอะไรบางอย่างที่เราทำ เราต้องห้ามทำให้เกิดผลกระทบกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นด้วยการกระทำหรือคำพูด เราจะเป็นเราแบบนี้ก็ได้ แต่ห้ามทำให้คนอื่นรู้สึกว่าต้องมาเดือดร้อนกับเรา
แสดงว่าก่อนหน้านั้นการเป็นตัวเองมันส่งผลกระทบต่อคนอื่นใช่ไหม
พอเวลาเรารู้ว่าถูกซัพพอร์ตหรือสปอยมากๆเข้า เราจะรู้สึกว่าเราสามารถทำอะไรได้เต็มที่ ทั้งการพูดการจาหรือการกระทำต่างๆ มันจะมีความไม่สนใจคนอื่นแล้วมันจะถูกครอบงำด้วยความที่ฉันเป็นตัวฉัน แล้วทุกคนจะต้องหมุนรอบตัวฉัน สิ่งนี้มันเปลี่ยนไปเมื่อเติบโตขึ้น เรากลับรู้สึกว่า การที่เราได้เป็นตัวเองขนาดนี้เราได้ประโยชน์ขนาดนี้แล้ว แล้วทำไมเราถึงไม่รู้จักคิดถึงคนอื่นด้วยมันไม่ยุติธรรมเท่าไรสำหรับคนอื่นเลย
การที่ครอบครัวซัพพอร์ตมาตั้งแต่เด็ก ทำให้รู้สึกว่าตัวเองโชคดีกว่าคนอื่นไหม
จริงๆ แล้วเรียกว่าส่วนได้ส่วนเสียมันพอ ๆ กัน เพราะคนเรามันเทียบกันไม่ได้ ว่าคนนี้โตมาแบบนี้ แล้วจะได้ดีกว่าคนนี้ หรือคนนี้โตมาเป็นคนรวย เขาดีกว่าแน่นอน หรือคนนี้โตมาเป็นคนจน เขาด้อยกว่าแน่นอน มันไม่ใช่ ถึงเราจะมีข้อดีที่ได้มาจากครอบครัว แต่เราก็มีข้อเสียในส่วนที่เราได้มาจากครอบครัวด้วยเช่นกัน เพราะด้วยสิ่งแวดล้อมของเราที่ถูกซัพพอร์ตมาตลอด สิ่งหนึ่งที่มันดีคือเรารู้ว่าชีวิตเราต้องไปทางไหน แต่พอเมื่อไรก็ตามที่เราถูกกระทบกระเทือนมันกลับทำให้เราตกลงมาเร็วมาก เราจะรู้สึกทันทีว่า ฉันไม่เคยเจอความผิดหวังแบบนี้มาก่อนนี่คือสิ่งที่มันแย่ แต่สำหรับคนที่เขาต้องฝ่าฟันมาตลอดเขาจะรู้สึกว่าฉันต้องไม่กลัวแน่ๆ จะมีแรงสู้ของตัวเอง ทำให้เรารู้สึกว่าจริงๆ แล้วคนเราจะเกิดมาแบบไหนก็ไม่ต่างกัน มันอยู่ที่ทัศนคติและวิธีคิดต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า
ถึงครอบครัวจะเข้าใจ แต่ค่านิยมในสังคมตอนนั้นมองเรื่องเพศที่สามเป็นอีกแบบใช่ไหม
ไม่ใช่แค่สมัยก่อน เราว่าทุกวันนี้ก็เป็นเหมือนกัน แค่เราแต่งตัวหรือเราแค่ทำอะไร เราก็รู้สึกแล้วว่าเขาlook down แล้วเรารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมคุณรู้ไหมว่าบางครั้งมันอาจจะทำให้อะไรหลายๆ อย่างทั้งวิธีคิด ทั้งความกล้าที่จะเข้าสังคมของเรามันยากขึ้น มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันไปต่อลำบากมาก แต่สิ่งหนึ่งที่เราเชื่อมั่นมากที่สุดคือ เราว่าเรารู้ว่าเราจะทำอะไร เรารู้ว่าเราสามารถให้อะไรกับโลกใบนี้ได้
พอเป็นแบบนั้นก็เลยต้องพิสูจน์ตัวเองให้สังคมเห็นหรือเปล่า
ตอนสมัยเรียนเพศแบบเรามักจะถูก bully เสมอ แต่เราจะเป็นคนหนึ่งที่พยายามสู้กับเรื่องนี้ตลอด คือพยายามไม่ให้ตัวเองถูก bully พยายามจะทำให้ตัวเองรู้สึกว่า ฉันได้ความมั่นใจมาจากบ้านเต็มที่แล้ว พ่อแม่ฉันซัพพอร์ตมาเต็มที่แล้ว ใครก็ตามจะมาทำให้ฉันรู้สึกเสียใจอีกไม่ได้เราจึงพยายามที่จะมุ่งไปกับสิ่งที่เราชอบ แล้วก็พยายามตั้งใจให้เต็มที่ พยายามพิสูจน์ให้เห็นว่าคุณจะมาใช้ปมเรื่องเพศมาเป็นเหตุผลในการbully เราไม่ได้ คุณจะต้องตัดสินเราจากความสามารถมากกว่าไม่ใช่แค่เรื่องเพศ คือส่วนตัวเราจะชอบเรื่องการแสดงอยู่แล้ว มันก็เลยทำให้เราตั้งใจให้ทุกคนได้เห็นความสามารถของเราจริงๆคุณจะต้องไม่มามองว่านี่เป็นแค่ตุ๊ด
มองว่าอะไรคือข้อดีของการเป็นเพศที่อยู่ตรงกลางระหว่างชายหญิง
ข้อดีคือเรารู้ว่าผู้ชายเป็นอย่างไร ผู้หญิงเป็นอย่างไร เราอาจจะไม่ได้รู้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกก็คือเราสามารถที่จะเข้าใจฝ่ายหญิงและฝ่ายชายได้เท่าเทียมกัน แล้วมันก็ทำให้เราให้อภัยง่ายขึ้น ทำให้เราเข้าใจว่า ผู้ชายที่กลัวตุ๊ดมีเหตุผลเพราะอะไร หรือเข้าใจง่ายขึ้นว่าเหตุผลที่ผู้หญิงคิดกับเราแบบนี้เพราะอะไร ลองสังเกตสิพวกเราจะสามารถอยู่ในกลุ่มของคนเพศไหนก็ได้ เพราะว่ามันคลิกกันได้หมด
คิดว่ามีองค์ประกอบอะไรบ้างที่ทำให้เป็นพัด ชนุดมอย่างทุกวันนี้ได้
การที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง ทำให้เราได้อยู่กับธรรมชาติบ่อย แล้วเราก็รักในเรื่องของการแสดงมากตรงนี้ทำให้เรารู้สึกว่างานศิลปะที่เราแสดงออกมา ต้องแสดงออกมาตามความรู้สึกที่เป็นจริงๆถ้าคุณอยากจะเป็นแบบนี้ คุณจะต้องใช้หัวใจตัวเองสร้างให้มันเกิดขึ้นอย่างที่เป็น อยากจะร้องแบบนี้ หรืออยากจะแอ็คติ้งแบบนี้มันจะต้องออกมาตามธรรมชาติของมัน แน่นอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ประกอบจากหลายสิ่งเข้าด้วยกัน แต่เราเชื่ออย่างหนึ่งว่าการที่มันประกอบเข้าด้วยกันได้ มันจะต้องสมบูรณ์แบบตามธรรมชาติ ไม่ใช่สร้างออกมาแล้วผิดรูปผิดแบบ ขณะเดียวกันอย่างเรื่องการแสดงก็อาจจะใช่ที่มันต้องประดิษฐ์ แต่มันคือการพัฒนาต่อยอดมาจากสิ่งที่เป็นธรรมชาติของเราจริง ๆ
คำว่า passion สำคัญมากน้อยขนาดไหนต่อการทำงานทุกวันนี้บ้าง
สำหรับเรา passion เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะยังรู้สึกว่ามันยังไม่ถึงที่ของเรา หมายความว่าผลงานของเราต้องเดินหน้าต่อไปอีกเรื่อยๆยังไม่มีจุดจบ ณ ตอนนี้ ณ เวลานี้ เมื่อไรก็ตามที่มันยังไม่ตาย เราก็ต้องทำต่อไปเหมือนเป้าหมายมันใหญ่ขึ้นๆตอนเด็กๆ เราอยากเป็นแค่นักร้อง พอเริ่มโตมาก็รู้สึกว่า อยากแต่งเพลงที่สะท้อนสังคมมากขึ้น พอโตมาอีกหน่อย ก็รู้สึกว่าถ้าการแสดงส่งผลต่อคนดูมากขึ้น ก็น่าจะช่วยบอกอะไรกับสังคมได้มากขึ้นอีก passion ที่มีมันเริ่มยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
แสดงว่าเพลงของวงชนุดม ตั้งใจให้สะท้อนสังคมอยู่แล้วใช่ไหม
เรารู้สึกว่าพอเวลาเรามีโอกาสได้ทำเพลง หรือมีโอกาสได้ทำงานออกมาชิ้นหนึ่ง สิ่งหนึ่งที่เราถูกสอนมาจากครูเรา คือถ้ามีโอกาสตรงนี้แล้ว เราควรต้องสอดแทรกเนื้อหาที่เราอยากให้คนได้เข้าใจ หรือสิ่งที่ช่วยพัฒนาจิตใจของกันและกันไปด้วยมันอาจจะไม่ใช่เพลงที่ฟังกันทั่วไป แต่ถ้าเราพอใจและมีความสุขกับสิ่งที่เราได้นำเสนอออกไปงานชิ้นนั้นจึงจะมีคุณค่าจริงๆเหมือนเป็นการ educate คนฟังเพื่อบอกว่าโลกนี้ยังมีวิธีคิดที่แตกต่างอีกมากมายที่สามารถสอดแทรกเข้าไปได้ ไม่ใช่แค่ความบันเทิงเพียงอย่างเดียว
เวลาเจออุปสรรคหรือปัญหาในชีวิต มีวิธีคิดแบบไหนที่ช่วยให้ผ่านช่วงเวลานั้นไปได้ทุกครั้ง
ทุกปัญหาที่เกิดขึ้น เราก็ใช้เวลาในการแก้ปัญหาเหมือนกัน เมื่อเริ่มรู้สึกว่าตรงนี้เรายังจัดการมันไม่ได้เราก็หยุดมันก่อน พักไว้ก่อน แล้วไปโฟกัสกับอะไรอย่างอื่นที่ต้องทำต่อ เพราะการอยู่กับปัญหาเดิมๆ จะกลายเป็นการดึงเราให้จมไปเรื่อยๆหรือหมกมุ่นอยู่กับมันจนเราไม่สามารถlook forward ไปต่อได้ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะลืมมัน แต่เป็นการเลือกที่จะกลับมาแก้ทีหลังเมื่อถึงเวลา
ส่วนตัวมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องแฟชั่นอย่างไรบ้าง
เรารู้สึกว่าจริงๆ แล้ว แฟชั่นเป็นปัจจัยสี่อย่างหนึ่ง พอเป็นแบบนั้นทำให้เราสนุกมากขึ้นกับแฟชั่น เราก็แค่อยากรู้ว่าร่างกายเรามันสามารถไปได้ขนาดไหน ถ้าร่างกายเราเป็นแบบนี้ ฉันมีเอวแบบนี้ ฉันมีขาแบบนี้ ฉันจะใส่เสื้อผ้าแบบไหน เป็นความท้าทายในการเลือก ถ้าคุณมีความสนุกกับแฟชั่น คุณจะรู้สึกทันทีว่าทุกอย่างมันสนุกไปหมดเลย แล้วมันจะย้อนกลับมาที่เรื่องของการเคารพตัวเอง เพราะแฟชั่นสามารถเริ่มต้นจากตัวเราเองก่อนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมานำแฟชั่นเรา รู้จักมองตัวเองก่อนว่า แขนแบบนี้ ขาแบบนี้ สีผิวแบบนี้ เหมาะกับอะไร หรือเป็นสิ่งที่เมื่อแมตช์กับตัวเราแล้วทำให้เรายิ้มกับตัวเองในกระจกได้ ก็โอเคแล้ว สิ่งเหล่านี้มันสะท้อนออกมาอย่างหนึ่งคือ พอเวลาคนๆนี้แต่งตามตัวเอง เราจะรู้สึกว่าเขารักตัวเองจังเลย จะไม่มีคนอื่นแต่งแบบเขาได้อย่างนี้แน่นอนและจะรู้สึกทันทีว่าเขากำลังยึดอะไรอยู่หรือกำลังคิดอะไรอยู่
อยากให้เล่าถึงหนังโฆษณาที่แสดงให้แบรนด์KIIZÉเห็นว่าบทในเรื่องมาจากประสบการณ์ตรงที่พบเจอมา
มันเป็นส่วนหนึ่งที่เราได้ทำงานกับผู้กำกับด้วย เป็นการคุยกันเรื่องสิ่งที่เราประสบมา แล้วเราฝ่าฟันมันมาอย่างไร คือเราเป็นทั้งนักแสดงและนักร้องทุกวันนี้ก็จริง แต่ในระหว่างทางที่เราเติบโตมา มันจะมีคำต่างๆ ที่มาจากคนอื่น เป็นตุ๊ดแล้วทำแบบนี้มันยากนะ แต่งตัวแบบนี้มันดูไม่ดีนะ มันเป็นคำที่เราต้องสู้กับมันตลอด แล้วการที่จะฝ่าฟันมันไปให้ได้ จะพึ่งใครไม่ได้เลย มันอยู่ที่หัวใจตัวเองอย่างเดียวสุดท้ายคำเหล่านี้พอเราสะบัดจากมันไปได้เราจะเดินหน้าไปแบบไม่สนใจเลยก่อนจะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า นี่ไง ฉันก็อยู่ตรงนี้ได้ ฉันก็เป็นแบบนี้ได้ ฉันภูมิใจที่จะเป็นแบบนี้ แล้วทุกคนก็เป็นได้เหมือนกัน
แล้วกระเป๋าแบรนด์ KIIZÉ มันสะท้อนความเป็นตัวของ พัด ชนุดม อย่างไรบ้าง
มันเป็นสิ่งหนึ่งที่มันบ่งบอกตัวตนของเราได้ดีถึงจะเป็นกระเป๋าหนัง แต่เรากลับรู้สึกว่ามันไม่หนักหรือรู้สึกว่าต้องดูแลเป็นพิเศษขนาดนั้น เราใช้มันได้ในแบบธรรมชาติที่เราเป็น และองค์ประกอบของมันอีกอย่างที่เราชอบมากคือ เรารู้สึกว่ากระเป๋าเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเก็บอะไรบางอย่างที่เป็นsecretของเราได้แยกแยะได้ว่าช่องนี้สำหรับเก็บของสิ่งนี้ อีกช่องสำหรับเก็บของสิ่งนั้น ซึ่งบ่งบอกตัวตนของเราในเรื่องของความทะมัดทะแมงเราไม่ได้ต้องการความเว่อร์วัง หรือใหญ่โตจนทำให้เรารู้สึกว่าใช้ชีวิตลำบาก แต่ต้องสามารถพกพาไปไหนก็ได้อย่างสบายใจและเป็นส่วนหนึ่งของเราได้ตลอด กระเป๋าที่ดีควรจะต้องบ่งบอกว่าเราเป็นคนมั่นใจแบบไหน ซึ่งสังเกตได้จากลักษณะการใช้งาน เรามักจะชอบผู้หญิงที่ใช้กระเป๋าที่ทะมัดทะแมงแล้วรู้สึกว่าเป็นตัวของเขาเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นคนทำงานแบบไหนหรือคุณจะอยู่ในพาร์ทไหนของสังคม จะเดินห้างหรือเดินถนนก็ตาม แต่ให้รู้สึกว่ากระเป๋าเป็นสิ่งที่เสริมตัวตน ได้เป็นตัวของตัวคุณเอง เราว่าจบกระเป๋า KIIZÉ จึงเหมาะสำหรับทุกคนที่มั่นใจในตัวเองจริงๆ
คิดว่าอะไรคือความสุขของการได้เป็นตัวของตัวเอง
จริงๆความสุขมันไม่ได้หยุดอยู่ที่การเป็นตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่จะมีความสุขมากกว่าเมื่อเวลาเราเริ่มมอบความสุขกับคนอื่นได้ สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นได้ นั่นคือความสุขที่มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆการที่เราเกิดมาครั้งหนึ่ง ไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเป็นแค่ตุ๊ดหรือจะเป็นคนที่ร้องเพลงไปวันๆเราภูมิในที่สิ่งเราได้มอบมันให้กับคนอื่นอย่างจริงใจ โดยไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งนี้เราทำเพื่อหวังผลกับตัวเองแบบไหน
สิ่งที่เราหวังผลมีสิ่งเดียวคือเวลาร้องเพลง เวลาโชว์ เราอยากให้เขามีความสุขการที่เขาปรบมือ เขายิ้มให้เราแบบนั้น พลังมันส่งสะท้อนกับมาหาเรา สิ่งนี้มันคือสิ่งพิเศษที่เราสร้างขึ้นมาจากตัวตนของเราเพราะฉะนั้นมันจึงทำให้เราภูมิใจในตัวเองและเข้าใจคำว่าความสุขมากขึ้น
KIIZÉ – Empowerment Film
https://www.youtube.com/watch?v=MUBU7XwbVII