ในโลกของการทำงานหรือการใช้ชีวิต เชื่อว่าทุกคนต่างต้องมีช่วงเวลาที่เดินมาถึงจุด Comfort Zone หรือจุดอิ่มตัวที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยและสบายใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ แม้อาจเป็นความรู้สึกดีในระยะสั้น แต่ในระยะยาว การอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยแบบนี้นานๆ ชีวิตเราคงไม่สามารถเดินหน้าไปสู่จุดที่ดีกว่าได้
เราทุกคนจึงจำเป็นต้องหาวิธีก้าวผ่าน Comfort Zone นี้ไปให้ได้ หรือเรียกได้ว่าเป็นการหาความท้าทายใหม่ๆ ให้เข้ามาในชีวิต จะด้วยหน้าที่การงานใหม่ๆ หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดีกว่าเดิม เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองรักซึ่งการก้าวผ่านนี้ก็ใช่ว่าจะสามารถทำสำเร็จได้ทุกคน
The MATTER ชวนไปถอดเรื่องราวชีวิตของ อ้อ – พรทิพย์ กองชุน ที่กล้าก้าวออกจากการดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการตลาดของ Google (Thailand) สู่การเป็น COO และ Co-Founder แห่ง Jitta บริษัทสตาร์ทอัพอนาคตไกล ว่าอะไรคือแรงบันดาลใจสู่ความสำเร็จ บทบาทความเป็นแม่ที่เปลี่ยนมุมมองต่อโลกใบนี้ รวมไปถึงการสร้างพลังชีวิตด้วยพลังกลิ่นหอมบำบัดอย่าง LALIL
ก้าวข้าม Comfort Zone ไปให้ได้
“เราอยู่ Google มาสิบปีจนกลายเป็น Comfort Zone ของตัวเองไปแล้ว ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจลาออกจากงานเพราะตอนนั้นคิดว่า ‘It’s Now or Never’ ถ้าไม่มีวันนั้นก็คงไม่มีอีกเลย”
นั่นคือเหตุผลของอ้อในการลาออกจากบริษัทที่เคยทำงานมากว่าสิบปี ระยะเวลาอันยาวนานของการดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการตลาด อาจดูเหมือนเป็นสถานะอันมั่นคง ที่ใครหลายคนอาจเลือกที่จะยึดเกาะไว้ เพราะการเปลี่ยนแปลงอาจหมายถึงความเสี่ยงที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “อ้อใช้เวลาตัดสินใจเกือบสองปี ทั้งที่จริงๆ แล้วตอนอยู่ Google ก็มีนโยบายสนับสนุนพนักงานให้เติบโตและได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ช่วงที่อยู่สิงคโปร์งานท้าทายและตื่นเต้นมากๆ แต่พอเรากลับมาอยู่ Google เมืองไทยอ้อก็อยากจะเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ บ้าง” เธออธิบายถึงการก้าวออกจาก Comfort Zone ก่อนจะพบกับโอกาสใหม่ที่เดินทางมาถึงพอดี
“คุณเผ่า (ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์) เริ่มต้นปั้นจิตตะปีแรกๆ อ้อเลยมองเห็นศักยภาพของธุรกิจที่สามารถไปต่อได้อย่างดีในอนาคต บวกกับเป็นสิ่งใหม่ที่ท้าทายความสามารถ เพราะรู้สึกว่า ถ้าไม่ตัดสินใจตอนนี้ก็อาจจะขี้เกียจหรือหมดไฟไปเลยก็ได้” เธอเล่าถึงการก้าวเข้ามารับตำแหน่งใน จิตตะ บริษัทสตาร์ทอัพกลุ่ม FinTech ที่กำลังเป็นที่จับตาในช่วงนั้น เนื่องจากการทำงานของสตาร์ทอัพในช่วงแรก คือการทำงานเป็นทีมที่ต้องเข้าใจกันเป็นอย่างดี ทำให้นอกจากรูปแบบการทำงานที่เธอต้องบริหารจัดการตัวเองแล้ว เธอยังต้องเลือกวิธีการทำงานที่เหมาะสมมาปรับใช้กับทีมด้วย อย่างเช่นการใช้ OKR (Objectives and Key Results) ซึ่งเป็นกระบวนการในการวัดประสิทธิภาพของพนักงานที่กำลังได้รับความนิยมในองค์กรที่สร้างสรรค์นวัตกรรมทั่วโลก ด้วยการให้พนักงานตั้งเป้าหมายที่สูงและยากไว้ก่อน เพื่อท้าทายความสามารถและกระตุ้นให้พัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดนิ่ง “วิธีนี้เป็นจิตวิทยารูปแบบหนึ่งที่จะเพิ่มศักยภาพของพนักงาน ควบคู่กับการกระตุ้นให้ก้าวข้าม Comfort Zone ของตัวเอง เพราะคนส่วนใหญ่จะตั้งเป้าหมายที่ตัวเองมั่นใจว่าทำได้แน่ๆ เน้นปลอดภัยไว้ก่อน แต่การที่เราตั้งเป้าหมายไว้สูงมากจะทำให้เราก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง และดึงศักยภาพที่ซ่อนเร้นของตัวเองออกมาใช้ให้มากที่สุด”
รับมือกับอุปสรรคจากทุกด้าน
“ในเมื่อปัญหามีเข้ามาทุกวัน ถ้าเรามัวแต่เครียดและท้อก็จะเดินต่อไปไม่ได้ เวลาเครียดมากๆ จะหยุดทำงานสักพัก แล้วฟังเพลงที่เราชอบ แล้วค่อยกลับมาทำงานต่อเพื่อให้ร่างกายและจิตใจรู้สึกผ่อนคลายขึ้น”
เป็นที่ทราบกับดีว่า หน้าที่อย่างหนึ่งของการเป็นฟาวเดอร์สตาร์ทอัพ คือการแก้ไขปัญหาที่เดินหน้าเข้ามาหาทุกวัน “ปัญหาเข้ามาทุกด้านเลยค่ะ (หัวเราะ) ตั้งแต่การสร้าง Products การเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง การสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้กับลูกค้า เราเริ่มจากการทำ Jitta Score หรือการวิเคราะห์และให้คะแนนหุ้น และ JittaLine หรือการจัดอันดับหุ้นที่น่าลงทุน ซึ่งต้องอาศัยเทคโนโลยีและข้อมูลจากตลาดหุ้นทั่วโลกนำมาวิเคราะห์ด้วยหลักการและสถิติต่างๆ เพื่อย่อยข้อมูลให้ลูกค้าเข้าใจง่ายที่สุด ที่สำคัญต้องสร้างกำไรให้กับลูกค้าด้วย จากนั้นเราก็ต้องทำให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างความเชื่อมั่นไปพร้อมๆ กัน ต้องวางกลยุทธ์ให้รอบคอบและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ได้ดี” อ้อเล่าถึงหน้าที่และปัญหามากมายที่ต้องรับมือทุกวัน
เมื่อถามถึงวิธีการรับมือกับอุปสรรค คนส่วนใหญ่อาจเลือกที่จะฟังเสียงตนเองก่อนเพื่อจัดการความรู้สึก แต่สำหรับอ้อกลับเลือกที่จะฟังเสียงคนรอบข้างก่อนเสมอ “เวลาที่เจออุปสรรคทางออกที่ดีที่สุดคือการเปิดใจคุยและรับฟังให้มากที่สุด โดยเฉพาะคำวิจารณ์ เพราะบางครั้งเราคิดว่าสิ่งที่ทำมันดีที่สุดแล้ว แต่มันอาจจะไม่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าก็ได้ สำคัญที่สุดต้องรับฟังมากกว่าหนึ่งคนเพื่อให้แน่ใจว่า มันเป็นเสียงจากลูกค้าจริงๆ และต้องมีแผนสำรองเสมอ อย่ากลัวหรือหนีปัญหา เพราะทุกอุปสรรคทำให้เราเข้มแข็ง และอาจทำให้เราพบวิธีใหม่ๆ ในการแก้ปัญหาและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปพร้อมกัน”
แน่นอนว่าการทำงานเมื่อเดินทางมาถึงจุดที่เริ่มอิ่มตัว สิ่งที่เธอชอบทำคือการออกไปหาแรงบันดาลใจเพื่อกลับมาสานต่อหน้าที่ของตนเองให้สำเร็จ “ทุกวันนี้ยังมีเป้าหมายและโจทย์ใหม่ๆ ที่ท้าทายความสามารถอยู่เสมอ เพราะคนทำธุรกิจสตาร์ทอัพต้องไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาและสนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ อ้อชอบอ่านบทความและเคสของคนที่ทำสตาร์ทอัพทั้งเมืองไทยและต่างประเทศ อ่านหนังสือหรือบทความของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ทำให้เราเกิดแรงบันดาลใจเวลาเห็นผลงานดีๆ ที่สร้าง Impact ต่อสังคม การนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่ได้ทำเพื่อความร่ำรวยของตัวเอง แต่ทำเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและสังคมที่ดีในอนาคต นี่เป็นความฝันและเป้าหมายต่อไปที่เราอยากก้าวเดินไปถึงจุดนั้นให้ได้”
ความเป็นแม่ที่เปลี่ยนแปลงชีวิต
“สิ่งหนึ่งเราทุกคนมีเหมือนกันคือ ‘เวลา’ ดังนั้นเราต้องเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการเวลาให้เหมาะสมกับรูปแบบการใช้ชีวิตและเป้าหมายของตัวเอง”
นอกจากเรื่องของหน้าที่การงานที่อ้อได้ก้าวออกจาก Comfort Zone จนประสบความสำเร็จแล้ว ในอีกมุมหนึ่งของชีวิต เธอก็ได้ก้าวสู่บทบาทของความเป็นแม่ ที่เธอเองก็ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย “การมีลูกทำให้อ้อเปลี่ยนไปนะ จากที่เคยเป็น perfectionism คนหนึ่ง เวลามีอุปสรรคหรือปัญหาเราจะมีแนวทางในการแก้ไขอยู่เสมอ แต่พอคลอดลูกได้อาทิตย์แรกๆ อ้อเครียดถึงขนาดร้องไห้ตลอดเวลาและนอนไม่หลับติดต่อกันเจ็ดวัน ตอนนั้นเหนื่อยไปหมดทั้งกายและใจ จนคุณหมอแนะนำว่า คนเป็นแม่ที่เป็น Working Woman ต้องเข้าใจว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ เราต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและรับมือกับลูกด้วยความเข้าใจ พอมุมมองที่มีต่อลูกเปลี่ยนมันก็ส่งผลต่อการทำงานด้วย ทุกวันนี้อ้อใจเย็นลงและยืดหยุ่นมากขึ้น” เธอเผยถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
แม้ภารกิจความเป็นแม่จะหนักหนาเพียงใด แต่ด้วยเคล็ดลับการจัดการเรื่องเวลาที่เธอใช้ ก็ช่วยให้เธอสามารถจัดการชีวิตได้อย่างน่าชื่นชม “ทุกวันนี้อ้อจะตื่นแต่เช้ามานั่งทำงานที่ใช้สมาธิในการวางแผนงานต่างๆ จะได้มีเวลาเล่นกับลูกก่อนไปทำงาน ถึงออฟฟิศสัก 10 โมงกว่าๆ แล้วก็ทำงานให้เต็มที่ ที่สำคัญเราต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเพราะมนุษย์แม่ต้องแข็งแรงจะได้ดูแลลูกได้เต็มที่”
สร้างสมดุลให้กับชีวิตด้วยการดูแลตัวเอง
“ธรรมชาติจะช่วยสร้างสมดุลให้ผิวพรรณและจิตใจรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย เป็นความสุขอย่างหนึ่งของผู้หญิง ทำให้เราเรียนรู้ที่จะรักษาสมดุลในการใช้ชีวิต การดูแลตัวเอง และทำงานอย่างมีความสุขมากขึ้น”
ด้วยบทบาทของการเป็นผู้บริหารของจิตตะ รวมถึงบทบาทของการเป็นแม่ ที่อ้อต้องแบกรับหน้าที่ทั้งสองอย่างพร้อมกัน ทำให้สิ่งสำคัญที่เธอต้องใส่ใจคือการดูแลตัวเองอย่างสมดุล “ช่วงคลอดน้องใหม่ๆ อ้อไม่ได้ดูแลตัวเองเลย คนเป็นแม่จะใช้ร่างกายเยอะมาก แต่หลังจากนั้นก็เริ่มหันมาดูแลตัวเอง จนวันหนึ่งมีโอกาสได้ไปนวดอโรมาแล้วรู้สึกผ่อนคลายและสบายมากเลย อ้อว่ากลิ่นหอมของน้ำมันนวดเป็นศาสตร์การบำบัดด้วยกลิ่นรูปแบบหนึ่ง ที่ช่วยให้ร่างกายและจิตใจรู้สึกสงบ ทีนี้เราก็เริ่มดูแลตัวเองมากขึ้น ทั้งเข้าฟิตเนส โยคะ กินอาหารที่ดี และเน้นความเป็นธรรมชาติ” เธอเผยถึงเคล็ดลับในการดูแลตัวเอง “ทุกวันนี้อ้อลดการใช้พลาสติก ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แม้แต่อาหารกลางวันที่ออฟฟิศก็จะเลือกแนวออร์แกนิคเท่าที่จะทำได้ มันทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง เหมือนเราช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมผ่านการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็นธรรมชาติและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม อ้อเชื่อว่า คนยุคใหม่ให้ความสำคัญต่อตัวเองและสิ่งแวดล้อมในเวลาเดียวกัน”
LALIL ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนั บสนุนให้ผู้หญิงกล้าใช้ชีวิ ตในแบบที่ตัวเองรัก เพราะเราเชื่อว่า ความสุขเริ่มต้นจากตัวคุณเอง
สามารถคลิกลิงก์ เพื่อรับผลิตภัณฑ์ตัวอย่างได้ฟรี
http://static.ssup.co.th/web/LL/1809/matter/?chn=matter