ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเราก็ต้องเติบโต แต่พอถึงเวลาจริงๆ ที่เราเห็นโอกาสและงานที่ดีกว่าอยู่ข้างหน้า ใจก็สะดุดให้ย้อนกลับมามองข้างหลัง อยู่ที่นี่เราเองก็รายล้อมด้วยเพื่อนร่วมงานดีๆ ถ้าไปที่ใหม่ไม่รู้ว่าจะหาแบบนี้ได้อีกไหม แม้จะดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ใครหลายคนติดอยู่ในคอมฟอร์ตโซน ทำให้ตัวเองก้าวไปให้ไกลกว่านี้ในสายงานไม่ได้เสียที
การจะกังวลเรื่องนี้ก็ไม่ได้ผิดเลย และการจะติดอยู่ในคอมฟอร์ตโซนก็ไม่ได้ผิดเช่นกัน เพราะเพื่อนสนิทและสังคมการทำงานที่ดี ทำให้ชีวิตการทำงานของเรามีความสุขได้มากขึ้นจริง
จากการสำรวจในปี ค.ศ.2021 โดย Wildgoose พบว่า 57% ของพนักงานบริษัทกล่าวว่าการมีเพื่อนสนิทในที่ทำงานทำให้งานสนุกขึ้น อีก 22% รู้สึกว่าทำงานได้ดีขึ้นเมื่อได้อยู่กับเพื่อน และอีก 21% บอกว่าการอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงทำให้พวกเขามีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
มีเพื่อนสนิทในที่ทำงาน ไม่ว่าอะไรก็ราบรื่นไปหมด
ขึ้นชื่อว่างาน ก็ต้องเครียดเป็นธรรมดา ไม่ว่าใครก็อยากทำงานให้มันจบ เลิกงาน กลับบ้านไปทำอะไรที่อยากทำ แต่การมีเพื่อนสนิทในที่ทำงานช่วยให้เวลาที่เราอยู่ในที่ทำงานมีความสุขและมีความหมายมากขึ้น ถึงเราจะไม่อยากตื่นไปทำงาน แต่เราอยากตื่นไปเจอเพื่อน ไปนั่งคุยกัน กินข้าวด้วยกัน หรือบางครั้งก็ไปสังสรรค์ต่อด้วยกันหลังเลิกงาน
แคทเธอรีน ฟิชเชอร์ ผู้เชี่ยวชาญจาก LinkedIn กล่าวเอาไว้ว่า มิตรภาพนั้นสำคัญ มันจะทำให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกัน ทำให้เรามีแรงบันดาลใจมากขึ้น และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เราจะแสดงความคิดเห็นเรื่องงานกับเพื่อนสนิทได้อย่างตรงไปตรงมามากกว่า และเราจะไม่ลังเลในการขอคำปรึกษาเพื่อนของเราอีกด้วย (คงไม่มีใครกล้าปรึกษาคนไม่สนิทหรอกใช่ไหม)
และจากการสำรวจเดียวกันของ Wildgoose ก็พบว่า ในแง่ความสุข พนักงานที่มีเพื่อนสนิทที่ทำงานนั้นมีความพึงพอใจในงานมากขึ้น พวกเขามีความสุขและมีแนวโน้มที่จะไม่ลาออกจากงาน มิตรภาพในที่ทำงานทำให้พนักงานรู้สึกถึงชีวิตการทำงานที่สมดุล พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงฟันเฟืองของบริษัทที่ทำงานให้เสร็จแล้วก็จบไป แต่พวกเขารู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น
ในแง่ของการทำงาน การสำรวจของ Gallup ในปี ค.ศ.2018 ก็พบว่าพนักงานที่มีเพื่อนสนิทในที่ทำงานนั้นจะตั้งใจทำงานมากขึ้นเป็นสองเท่า มีแนวโน้มผลิตงานที่มีคุณภาพมากขึ้น เรื่องเพื่อนสนิทในที่ทำงานอาจฟังดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ส่งผลดีถึงภาพรวมของบริษัทเลยทีเดียว เพราะพนักงานที่มีเพื่อนสนิทนั้นสามารถดึงดูดลูกค้าเข้ามาได้มากขึ้นถึง 7% และในภาพรวมยังทำให้องค์กรได้รับกำไรมากขึ้นอีก 12% ด้วย
ใจอยากลาออกเพื่อเติบโต แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอเพื่อนดีแบบนี้อีกไหม
การมีเพื่อนสนิทและสังคมที่ดีทำให้เป็นเรื่องยากที่เราจะตัดสินใจลาออก แม้ว่าเราจะไม่ได้มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจอะไรกับใครเลยก็ตาม แต่ในจุดหนึ่ง เราก็ต้องออกไปเรียนรู้และเติบโตในบริษัทใหม่ ตำแหน่งใหม่ สภาพแวดล้อมแบบใหม่
พอคิดถึงช่วงเวลาที่ชวนกันสั่งขนมมาเต็มโต๊ะ แอบส่งข้อความคุยกันตอนประชุมผ่านซูม โทรเมาท์เรื่องคู่อริตัวดีที่ชอบทำตัวเด่นเกินหน้าเกินตา ก็เศร้าขึ้นมาว่า การไปทำงานที่ใหม่เราจะได้เจอเพื่อนที่เข้ากันได้ดีแบบนี้อีกไหมนะ
ไม่แปลกที่เรายังพะวงอยู่ แต่ชีวิตเราก็ยังต้องเดินต่อไป การไปอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ก็จะทำให้เราได้เจอกับคนใหม่ๆ ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น และพวกเขาก็จะช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับเรา ในขณะที่เราก็ยังคงรักษามิตรภาพเดิมเอาไว้ได้เหมือนกัน
แม้ว่าเราจะเพิ่งบอกไปว่าการมีเพื่อนสนิทในที่ทำงานนั้นมีแต่จะส่งผลดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องมีเพื่อนสนิทในที่ทำงาน เรามาทำงาน เรียนรู้ และเติบโต การมีเพื่อนในที่ทำงานได้นั้นถือว่าเป็นโบนัส แต่ถ้ายังไม่มีก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบร้อนมาก
ถ้าไม่ได้เผือกเรื่องชาวบ้านด้วยกันแล้ว เราจะคุยเรื่องอะไรกันดี?
ไม่ต้องเศร้าขนาดนั้น การลาออกไม่ได้หมายความว่าเราจะหมดเรื่องพูดคุยจนต้องตัดขาดจากเพื่อนในที่ทำงานเสียหน่อย ถ้าเราตัดสินใจว่าเราจะให้เพื่อนคนนี้อยู่ในชีวิตเราต่อไป ก็อาจจะต้องเพิ่มความพยายามขึ้นหน่อย เพราะเราคงไม่ได้เจอกันทุกวันเหมือนเดิม ซึ่งมันก็มีวิธีอยู่บ้าง
เมื่อได้งานใหม่และจัดการอะไรจนลงตัวแล้ว ทำตัวให้ว่าง หาโอกาสนัดเจอกันบ้าง หรือถ้ายังหาโอกาสนั้นไม่ได้ การส่งข้อความหากัน โทรคุยกันก็เป็นอีกหนึ่งทางที่ช่วยให้เรายังคงเป็นเพื่อนกันได้อยู่ ไม่ว่าจะคุยเรื่องสัพเพเหระ เมาท์มอยในเรื่องที่เราคุ้นเคย พูดคุยถึงโปรเจกต์ที่เพื่อนกำลังทำอยู่ หรือแม้แต่เรื่องราวของชาวออฟฟิศที่เราไม่สามารถรับรู้แบบสดจากจุดเกิดเหตุได้อีกต่อไป
แต่กฎสำคัญคือ อย่าพูดถึงบริษัทเก่า (ที่เพื่อนของเรายังคงทำงานอยู่) ในแง่ลบ แต่ถ้าหากเพื่อนบ่นขึ้นมา เราก็สามารถไหลตามน้ำได้ แค่เราจะไม่เป็นคนที่จุดประเด็นขึ้นมาเท่านั้นเอง และอีกอย่างคือ อย่าเกทับพวกเขาว่างานใหม่ของเรานั้นดีกว่างานเดิมแบบไหนบ้าง ถ้าเป็นไปได้ เลือกคุยเรื่องอื่นจะดีกว่า
และถึงแม้ว่าชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัวของเราจะแยกกันเป็นคนละแบบ แต่เราก็สามารถให้พื้นที่ชีวิตส่วนตัวของเรากับเพื่อนได้ ลองชวนไปเที่ยวด้วยกัน หรือลองหางานอดิเรกที่เราทั้งคู่สนใจเหมือนกันและทำด้วยกัน เราอาจจะชอบศิลปินวงเดียวกัน ก็ชวนกันไปงานอีเวนต์ หรือถ้าชอบอ่านการ์ตูนเรื่องเดียวกัน ก็ยืมหนังสือการ์ตูนกันอ่านก็ได้ จะได้เจอกันบ่อยขึ้นด้วย
เป็นเรื่องธรรมดา ที่พอถึงจุดหนึ่งเราก็ต้องแยกย้ายกันไปเติบโต มันอาจจะเจ็บปวดนิดหน่อย แต่ครั้งหนึ่งเราก็เคยเป็นช่วงเวลาที่ดีของกันและกันนะ
อ้างอิงข้อมูลจาก
Illustration by Manita Boonyong