กระชับกระเฉง บ้าพลัง กล้าได้กล้าเสีย คือบุคลิกของ บุ๋ม – บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์
แม่ทัพใหญ่แห่งร้านอาหารมังกรสีเขียว แต่ในวันที่ไวรัสระบาดไปทั่วโลก แทบไม่มีธุรกิจไหนในโลกที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตอันหนักหนานี้
ถอดรหัสเส้นทาง ‘การตั้งเป้าหมาย’ คือหัวใจที่ทำให้มีวันนี้
อย่างที่ทราบดีว่าการทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อให้คุณบุ๋มลองถอดบทเรียนเส้นทางเดินในชีวิตตัวเอง เบื้องหลังจิตใจที่แข็งแกร่งของคุณบุ๋มประกอบไปด้วย 3 สิ่งที่พาเธอมาได้ไกลถึงวันนี้ นั่นคือ การตั้งเป้า การเป็นคนช่างสังเกต และไม่กลัวที่จะลงมือทำ
“ทุกเรื่องที่ทำเราจะมีเป้าหมายให้กับมัน เรามักมีภูเขาอยู่ในหัวเสมอ เช่น วันนี้เราอยากจะทำอะไร จากนั้นก็ลองมองไปรอบตัว แล้วออกเดินทางหาคำตอบผ่านการลงมือทำ”
“พอพิชิตภูเขาลูกนี้ได้ เราก็เริ่มมองหาภูเขาลูกใหม่ว่ามันมีอะไรอีกที่เราอยากจะทำอีกบ้าง จนกลายเป็นเรื่องสนุกทุกครั้งที่ได้ปีนภูเขาเลยค่ะ เราว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดอาจจะต้องคิดว่าตัวเราสามารถสร้าง motivation ให้ตัวเองได้นะ ที่เราเป็นอย่างนี้เพราะเราสามารถจุดไฟให้ตัวเองได้ สามารถสร้างเป้าหมายในชีวิตให้ตัวเองได้ตลอดเวลา”
ความกล้าหาญและบ้าพลัง สารตั้งต้นแห่งความสำเร็จในธุรกิจ
หากเปรียบชีวิตคือการเดินทางระยะไกล คุณบุ๋มยืนยันว่าความบ้าพลังของตัวเองเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กล้าที่จะพิชิตอุปสรรคภูเขาสูงลูกแล้วลูกเล่าในเส้นทางนี้
“ยิ่งในยุคนี้นอกจากความบ้าพลังของเรา สิ่งที่ต้องมีคือความคิดสร้างสรรค์ที่มันเจ๋งและทำได้จริง เปรียบเทียบมันเหมือนเส้น make it happen เราจะเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ให้กลายเป็นสิ่งต่างๆ อย่างไร? หรือทำให้มันกลายเป็น business หรือเป็น innovation ได้อย่างไร การตั้งเป้าหมายและไปให้ถึงจะทำให้ความคิดเพ้อเจ้อของเรากลายเป็นความสำเร็จที่จับต้องได้จริงๆ”
ถึงแม้กราฟความบ้าพลังของคุณบุ๋มจะพุ่งสูงแค่ไหน ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีภูเขาสูงบางลูกที่ทำให้รู้สึกเหนื่อย ท้อ โดยเฉพาะวิกฤตจากโรคระบาดโควิด-19 ที่เกิดขึ้น
“เราอยู่ในธุรกิจร้านอาหารที่ถูกบีบให้ต้องปรับตัวขั้นสูงสุดมาหลายรอบ เราว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ยังยืนอยู่ได้ ทั้งในมุมของการที่เป็นผู้บริหารที่ต้องนำพาบริษัทให้รอด ทำให้แบรนด์ยังคงยืนหยัดในหัวใจลูกค้า รวมถึงทำให้ลูกทีมเราเองเชื่อมั่น คือ ทักษะการฝึกใจให้แข็งแกร่ง หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Resilience มันสำคัญมากๆ เพราะหัวใจที่แข็งแกร่ง มันทำให้เราไม่กลัวที่จะเรียนรู้ใหม่เสมอ เราเชื่อว่าคนที่ไม่เคยล้มเหลวหรือผิดพลาดอะไรเลย เป็นคนที่ไม่เคยทำสิ่งใหม่”
“อย่างที่บอกว่าตั้งแต่เด็กๆ เราเป็นคนที่มีเป้าหมายชัดเจน เราชอบแข่งกับตัวเอง การวิ่งออกกำลังกายรอบหมู่บ้านของเรา มันตอบโจทย์ทุกอย่าง เช่น เราตั้งเป้าหมายว่าวันนี้จะวิ่ง 10 กิโลเมตร ภายใน 1 ชั่วโมง ก็มาดูว่าวันนี้เราได้ทำไหม เราทำดีกว่าเดิมหรือเปล่า แค่นี้เราก็ได้ฝึกตัวเองมากขึ้นแล้วนะคะ การแข่งกับตัวเองมันทำให้รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เราแพ้ ก็แค่แพ้ แล้วก็เรียนรู้ว่ารอบนี้ที่เราแพ้ มันเกิดจากปัจจัยอะไร” คุณบุ๋มทิ้งท้าย
‘ฝึกใจให้แข็งแกร่งเพื่อเผชิญหน้ากับภูเขาสูง’ ภารกิจลมใต้ปีกของแม่บุ๋ม
อีกหนึ่งบทบาทนอกจากเป็นนักธุรกิจ คุณบุ๋มยังเป็นมนุษย์แม่ ภารกิจอีกอย่างนอกจากการรับมือกับวิกฤตโควิด-19 คือการเตรียมความพร้อมทั้งในแง่ของร่างกายและส่งต่อทักษะสำคัญอย่าง Resilience เพื่อให้ลูกปรับจิตใจและรู้จักยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ต่างๆ
ฉะนั้นหัวใจหลักในการเลี้ยงลูกของคุณบุ๋ม จึงเป็นการส่งต่อวิธีการรับมือกับกำแพงภูเขาสูงที่จะกลายเป็นอุปสรรคของลูกเมื่อเติบโตขึ้น โดยเริ่มจากสิ่งง่ายๆ คือ การพาลูกเล่นกีฬา
“ต้องบอกก่อนว่าลูกเราไม่ใช่เด็กบ้าพลัง ไม่ใช่เด็กสายกีฬา ออกจะเป็นคนไม่ชอบการแข่งขันด้วยซ้ำ เราว่าสำหรับเด็ก เราต้องทำให้เขารู้สึกว่าเขาสนุกกับสิ่งนี้ก่อน เพราะถ้าเขาไม่สนุก เขาก็จะรู้สึกว่ามันเป็นเหมือนโดนลงโทษ ดังนั้นถ้าเราจะส่งต่อสิ่งใดให้เขาทำ ก็แค่เริ่มจากการทำให้เขาดู”
คุณบุ๋มบอกว่ากิจกรรมยามว่างที่เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก จึงเป็นเรื่องที่เรียบง่าย อย่างการพากันออกไปเดินเล่นหรือปั่นจักรยานด้วยกันในช่วงเย็น
“ทุกวันนี้ตารางออกกำลังของเรา 2 คน แทบจะเป็นตารางเดียวกัน (หัวเราะ) ยิ่งตอนนี้ Work from Home เราอยู่กับเขามากขึ้น เราจัดเวลาอยู่กับลูกได้ดีขึ้น ทุกวันเวลา 5 โมงครึ่ง เราสองคนก็จะลุกออกไปข้างนอกด้วยกัน โดยที่เราจะตั้งเป้าว่าวันนี้จะเดินกี่รอบ หรือลูกจะปั่นจักรยานกี่รอบ เวียนๆ กันไป”
‘ชีวิตก็เหมือนการขี่จักรยาน
คุณต้องปั่นไปข้างหน้าเท่านั้นถึงจะประคองตัวเอาไว้ได้’
‘Life is like riding a bicycle.’
หากประโยคของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่เคยกล่าวไว้เป็นจริง คุณบุ๋มบอกว่านี่คงไม่ต่างจากชีวิตของเธอกับลูกเท่าไรนัก เพราะยิ่งโลกหมุนเร็วมากขึ้นเท่าไร สิ่งที่เธอพยายามฝึกฝนให้ลูก ต้องไม่ใช่แค่ความเข้มแข็งด้านร่างกาย แต่ยังรวมถึงจิตใจด้วย
“สิ่งที่สำคัญที่สุด เราจะทำยังไงที่ฝึกให้ตัวเราเองและตัวลูกด้วย มีจิตใจที่แข็งแกร่ง เราว่าจิตใจที่แข็งแกร่งมันช่วยได้เยอะมาก ต่อให้เขาเจออีกกี่อุปสรรค กี่ความล้มเหลว กี่คำสบประมาท ลูกก็จะลุกขึ้นมาได้เสมอ”
“เรามักบอกลูกว่าชีวิตเป็นเหมือนการเล่นเกม เหมือนเล่นกีฬานะลูก ทุกครั้งที่ลูกเจอกำแพงหรือภูเขาใหม่ๆ มันคือด่านหนึ่งในชีวิต แรกๆ ลูกอาจจะตกใจ เพราะไม่เคยเจอมาก่อน ลูกอาจจะวิ่งไปแล้วชน ลูกอาจจะกระโดดไม่พ้น แต่ถ้าลูกไม่ยอมแพ้ ถ้ามี Resilience มีจิตใจที่แข็งแกร่งและเข้มแข็งพอ เดี๋ยวก็จะผ่านไปได้ แต่พอผ่านไปได้แล้ว มันก็ยังมีด่านแบบนี้มาอีกนะ ลูกต้องเจอแบบนี้ไปตลอดชีวิต และเมื่อมองย้อนไป แต่ละครั้งที่ลูกวิ่งกระโดดข้ามกำแพง กำแพงเหล่านั้นมันจะสอนหรือให้ประสบการณ์บางอย่างแน่นอน”
ดังนั้นหากวันใดวันหนึ่ง คนที่เธอรักที่สุดอย่างลูกชายเดินมาบอกว่า ‘ไม่ไหวแล้ว’ ‘รู้สึกเหนื่อยและท้อแท้’ สิ่งที่แม่บุ๋มจะตอบกลับไปคือประโยคสั้นๆ แต่ความหมายยิ่งใหญ่ อย่างคำว่า “I Always Support You.”
“สำหรับการเป็นแม่ เรามองว่าถ้าลูกรู้สึกว่าเขามีใครสักคนหนึ่งที่ยืนข้างเขาเสมอ หันไปเมื่อไรก็จะเจอ เราเชื่อว่าเขาจะมีพลังนะ ทั้งพลังกายและใจ เขาไม่จำเป็นต้องเอาชนะใคร นอกจากชนะหัวใจตัวเอง ไม่ต้องสนว่าผลมันจะเป็นยังไง แต่ถ้าลูกตอบตัวเองได้ว่าเขาทำดีที่สุดแล้วก็จะไม่เสียใจ”
เมื่อโลกปั่นป่วนขึ้น Resilience คือทักษะที่จำเป็น
ท่ามกลางสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สร้างความไม่แน่นอนไปทั่วทุกวงการ การทำนายอนาคตเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการคาดเดาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต หรือแม้กระทั่งการวางแผนงานระยะยาวของภาคธุรกิจก็จำเป็นต้องคิดเรื่องแผนสำรองมากขึ้น เพื่อปรับองค์กรให้มีความพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเข้ามาอยู่เสมอ
“เราคิดว่าไม่ต้องปีหน้าก็ได้ เอาแค่ในเดือนหน้าหรือวันถัดไปทุกคนก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นยังไง ดังนั้นเมื่อไม่สามารถทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ถ้าเราเตรียมพร้อมให้ตัวเองควบคุมจิตใจให้ยังแข็งแกร่งอยู่เสมอ ไม่รู้สึกย่อท้อ หรือเป็นอุปสรรคที่ทำให้เราไม่กล้าไปต่อ เราว่าอย่างน้อยมันก็เป็นวิธีที่เราเอาชนะใจตัวเองไม่ให้ยอมแพ้ได้แล้วนะ”
“เราเป็นมนุษย์คนบ้า เรากล้าชน ถ้าเปรียบเทียบกับเรื่องกำแพงสูง เราคิดว่ามีหลายคนที่กำลังวิ่งอยู่เหมือนเรา แต่พอเขาวิ่งไปกระแทกกับกำแพง เขาต้องใช้เวลา 5 ชั่วโมงกว่าจะลุกขึ้นมา แต่ถ้าเราล้ม เราลุกเลย แล้วรีบกลับมาซ้อมใหม่ ต้องขอบคุณจิตใจของเราที่แข็งแรงพอที่ทำให้เราเอาชนะตัวเองได้ ขอบคุณที่โลกนี้มีกีฬามันเป็นเหมือนเพื่อนที่มีค่าที่สุดของเราเลย ทำให้ทุกครั้งเวลาที่เรารู้สึกว่าเราทำไม่ได้ เราจะทำได้ ไม่ต้องคิดว่าขี้เกียจหรือไม่ขี้เกียจ สิ่งเดียวที่คุณต้องทำก็คือลุกขึ้นมาจากโต๊ะ หรือเตียง หรือเก้าอี้ เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่รองเท้า แล้วเดินออกไป”
“เราเข้าใจว่าการปล่อยให้ตัวเองล้มหรือการปล่อยให้ตัวเองโง่เป็นเรื่องปกติที่คุณจะรู้สึกห่วย แต่เชื่อเถอะว่าเราจะไม่โง่เรื่องเดิมและเราจะล้มในท่าที่สวยมากขึ้น นี่คือผลลัพธ์ของการมี Resilience หรือทักษะการมีจิตใจที่เข้มแข็ง มันทำให้เราล้มแล้วลุกเร็ว” คุณบุ๋มทิ้งท้าย
ไมโลเชื่อว่ากีฬาให้อะไรมากกว่าแค่เรื่องแพ้ชนะ กีฬาสอนให้มุ่งมั่น ขยัน อดทน พร้อมก้าวข้ามทุกอุปสรรคด้วยร่างกาย และจิตใจที่เข้มแข็ง เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย เพราะจิตใจที่แข็งแกร่งและร่างกายที่แข็งแรงจะนำไปสู่การใช้ชีวิตในสังคมในอนาคตได้อย่างเหมาะสม และพาทุกคนไปเจอกับความสำเร็จในแบบฉบับของตัวเอง ไม่ว่าจะเจออีกกี่ปัญหาก็ไม่คิดยอมแพ้