007 เพียงแค่เห็นตัวเลขชุดนี้หลายคนก็คงนึกถึง เจมส์ บอนด์ ในทันที เพราะไม่เพียงเป็นรหัสลับตัวแทนสุภาพบุรุษสายลับชื่อดัง แต่ยังเป็นชื่อสุดยอดแฟรนไชส์ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ระดับโลก
ด้วยระยะเวลาที่อยู่คู่วงการฮอลลีวูดมานานหลายปี การสร้างภาพยนตร์แต่ละครั้งย่อมมีการเปลี่ยนแปลงทีมงานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงที่เปลี่ยนหน้ามาแล้วหลายคน หรือผู้กำกับที่เปลี่ยนมือมาแล้วหลายครั้ง
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปก็คือนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือ เจมส์ บอนด์ มาโดยตลอด นับตั้งแต่ Golden Eye (1995) จนมาถึงภาคล่าสุด No Time To Die (2021) OMEGA ก็ยังคงปรากฏเป็นอาวุธคู่ข้อมือของบอนด์เสมอ พร้อมความพิเศษในการมีส่วนร่วมของคนทำหนังจนกล่าวได้ว่า OMEGA เป็นเครื่องประดับสำคัญที่สายลับคนนี้ขาดไม่ได้
เมื่อ OMEGA มีบทบาทกับ เจมส์ บอนด์ มากขนาดนี้ วันนี้เราจะมาเปิดประวัติความสำคัญ และความผูกพันของนาฬิกาในแต่ละภาคให้ดูกัน
Golden Eye (1995) และ Tomorrow Never Dies (1997)
OMEGA เข้ามามีบทบาทครั้งแรกกับแฟรนไชส์ เจมส์ บอนด์ ในภาพยนตร์ลำดับที่ 17 Golden Eye (1995) บนข้อมือของ เพียร์ซ บรอสแนน กับรุ่น OMEGA Seamaster Quartz Professional Diver 300M โดยเฉพาะฉากหลบหนีจากรถไฟ ที่บอนด์ใช้นาฬิกายิงเลเซอร์ตัดพื้นเหล็กก่อนรถไฟระเบิด ตามมาด้วยนาฬิการุ่น OMEGA Seamaster Professional Diver 300M ใน Tomorrow Never Dies (1997) ที่ขอบเบเซลกลายมาเป็นเครื่องจุดระเบิดระยะไกล ก่อนจะเปิดฉากแอ็คชันสุดมันส์ใต้ท้องเรือ นับเป็นหมุดหมายแรกแห่งความสำเร็จของ OMEGA ที่กลายเป็นอาวุธคู่กายของบอนด์มาถึงทุกวันนี้
The World is Not Enough (1999)
หากแค่ยิ่งเลเซอร์และหมุนขอบนาฬิกาเป็นเครื่องจุดระเบิดยังไม่ล้ำพอ ในภาคนี้ OMEGA Seamaster Professional Diver 300M เหนือขั้นไปอีกกับการเสริมเครื่องยิงตะขอสลิง ที่ใช้หลบหนีขึ้นที่สูง รวมไปถึงอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่หน้าปัดนาฬิกา กับแสงไฟ LED ที่ช่วยบอนด์ประคองสติท่ามกลางความมืดหลังหิมะถล่ม โชว์ความล้ำของนาฬิกาให้มีบทบาทสำคัญต่อเรื่องราวในภาพยนตร์มากขึ้น
Die Another Day (2002)
มาถึง เจมส์ บอนด์ ภาคสุดท้ายของ เพียร์ซ บรอสแนน ที่รวมคุณสมบัติอาวุธคู่กายมาใส่ OMEGA Seamaster Professional Diver 300M แบบจัดเต็ม ทั้งการจุดระเบิดโดยการหมุนขอบเบเซลที่ทำให้บอนด์หลบหนีได้สำเร็จ เข็มจุดระเบิดที่ใส่เข้ามาแทนที่ฮีเลียมวาล์ว รวมไปถึงการยิงเลเซอร์จากเม็ดมะยมที่ใช้ตัดชั้นหิมะน้ำแข็งได้อย่างรวดเร็ว เรียกว่าจัดเต็มเทคโนโลยีล้ำๆ มาอยู่ในนาฬิการุ่นนี้ทำให้ OMEGA ถูกจดจำว่าเป็น Gadget Watch สำหรับบอนด์แต่เพียงผู้เดียว
Casino Royale (2006)
ภาคแรกของ เดเนียล เคร็ก กับการรับบทพยัคฆ์ร้าย 007 ซึ่งการปรากฏตัวครั้งแรกนี้ บอนด์มาพร้อม OMEGA Seamaster Planet Ocean 600M ในฐานะนาฬิกาเรือนแรกที่เขาใส่ในหนัง รวมไปถึงรุ่นคู่กายอย่าง OMEGA Seamaster Diver 300M ที่ถึงแม้ในหนังจะไม่มีฟังก์ชันเทคโนโลยีอะไรมากมาย แต่ก็พิเศษด้วยการยกระดับการดีไซน์ให้งามวิจิตรมากขึ้น โดยเฉพาะบทสนทนาในฉากสำคัญที่ตัวละคร เวสเปอร์ลินด์ เจอบอนด์ครั้งแรกบนรถไฟ กับการเอ่ยปากชมนาฬิกาว่า “สวย” เหนือแบรนด์อื่น ทำให้บทสนทนานี้สั่นสะเทือนไปทั้งวงการนาฬิกาทีเดียว
Quantum of Solace (2008)
ภาคนี้ OMEGA Seamaster Planet Ocean 600M เป็นรุ่นที่รับเลือกให้ปรากฏในแฟรนไชส์บอนด์ด้วยคุณสมบัติจริงที่ทนถึกทุกการผจญภัย ทำให้เรือนนี้เหมาะมากกับฉากไล่ล่าสุดระห่ำที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ หากใครจำได้ นาฬิกาโชว์ความเท่แบบเด่นชัดในฉากพันแผลให้ตัวเองหน้ากระจก พร้อมโชว์ดีไซน์ใหม่อันโฉบเฉี่ยวกว่าเดิมทำให้นาฬิการุ่นนี้เป็นอีกรุ่นที่อยู่คู่ข้อมือบอนด์ได้อย่างสมศักดิ์ศรี
Skyfall (2012)
อีกหนึ่งภาคที่ เจมส์ บอนด์ สวมใส่นาฬิกาถึง 2 รุ่น กับรุ่นแรก OMEGA Seamaster Aqua Terra ในฉากคุยบรีฟที่ชั้นใต้ดินและซีนต่อสู้บนลานน้ำแข็งที่จมลงสู่ใต้น้ำรวมไปถึงอีกรุ่น OMEGA Seamaster Planet Ocean 600M ที่ปรากฏในฉากไล่ล่าทุกฉาก โดยเฉพาะฉากขับมอเตอร์ไซต์ในเมืองอิสตัลบูลที่ซูมเห็นนาฬิกาแบบเต็มจอกันเลย ทำให้ภาคนี้นอกจากเพลงที่เพราะมากๆ แล้ว ยังมีเรื่องราวของนาฬิกาที่น่าจดจำอีกด้วย
Spectre (2015)
ความพิเศษของภาคนี้คือการที่ เจมส์ บอนด์ สวมใส่ OMEGA Seamaster 300 สาย NATO หรือสายผ้าเป็นครั้งแรก พร้อมฟังก์ชั่นพิเศษที่ซ่อนกลไกระเบิดเวลาหลังกดเม็ดมะยม โดยฉากดังกล่าวบอนด์กดระเบิดระหว่างการถูกทรมาน เราจะเห็นหน้าปัดเปลี่ยนเป็นสีแดง และกลไกลเริ่มนับถอยหลังเข้าสู่การระเบิดทันที นาฬิกาเรือนนี้จึงทำให้เขารอดพ้นจากวิกฤตอย่างฉิวเฉียด และเป็น Gadget Watch เรือนแรกที่ เดเนียล เคร็กใส่หลังจากรับบท เจมส์ บอนด์ อีกด้วย
No Time To Die (2021)
ปิดท้ายที่ภาคล่าสุด และภาคสุดท้ายของ เดเนียล เคร็กในการรับบท เจมส์ บอนด์ ซึ่งหนังกำลังจะเข้าฉาย คราวนี้บอนด์มาพร้อมนาฬิการุ่นพิเศษ OMEGA Seamaster Diver 300M 007 Edition ที่ เดเนียล เคร็ก และโปรดิวเซอร์หนัง 007 มีส่วนร่วมในการออกแบบเพื่อบ่งบอกถึงตัวตนความเป็นพยัคฆ์ร้ายมากที่สุด ผ่านหน้าปัดและขอบตัวเรือนเป็นสีดำตัดกับรายละเอียดสีน้ำตาลโทรปิคอลคลาสสิกวินเทจ พร้อมสัญลักษณ์ Broad Arrow Military แบบเดียวกับประดับอยู่อาวุธของทหารอังกฤษทุกคน
ขณะเดียวกันฝาหลังเต็มไปด้วยการสลักรหัสลับตัวเลขมากมาย เอาแค่เฉพาะล่าสุดกับตัวอักษร A รหัสนาฬิกาที่ใช้เม็ดมะยมแบบขันเกลียวเลข 007 ที่เป็นรหัสประจำตัวสายลับและสุดท้ายเลย 62 จากปีที่ภาพยนตร์ เจมส์ บอนด์ ภาคแรกเข้าฉายนั่นเอง สะท้อนถึงความผูกพันอันยาวนานระหว่าง OMEGA
ทั้งนี้ OMEGA Seamaster Diver 300M 007 Edition เปิดวางจำหน่ายเป็นที่
สาขาสยามพารากอน โทร. 02-129-4878 และสาขาดิเอ็มโพเรียม โทร. 02-664-9550
หรือสนใจข้อมูลเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/2WwXg4A
จะว่าไปแล้วไม่มีภาพยนตร์เรื่องไหนที่มีภาคต่อมากเท่าแฟรนไชส์ 007 อีกแล้ว การที่ OMEGA ได้อยู่คู่ข้อมือ เจมส์ บอนด์ มาโดยตลอด นับเป็นความผูกพันอันยาวนานของตำนานสุภาพบุรุษสายลับ และเป็นตำนานแห่งนาฬิกาของสุภาพบุรุษทุกคน
อ้างอิงข้อมูลจาก