ในยุคที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งการแข่งขันที่รุนแรง เศรษฐกิจที่ผันผวน และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หลากหลายแบรนด์ต่างต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เพื่อเอาชนะตลาดให้สำเร็จ
สัมมากร คือหนึ่งในแบรนด์อสังหาฯ ที่มีอายุกว่า 55 ปี กลับเลือกที่จะนับหนึ่งใหม่ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง ด้วยการฟังเสียงจากภายในอย่างแท้จริง โดยการเปิดพื้นที่ให้พนักงานทุกคนได้มีส่วนร่วมในการวางอนาคตของบริษัท ผ่านการจัดงาน Town hall ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสัมมากร ภายใต้คอนเซปต์ Bottom Up TOWNHALL ครั้งแรกที่ Town Hall จะไม่ใช่ CEO พูด แต่เป็นพนักงานพูดให้ CEO ฟัง พร้อมเชื่อมั่นในศักยภาพของพนักงานทุกคนที่จะพาสัมมากรไปสู่อีกขั้นของความสำเร็จได้
โดยไฮไลต์สำคัญของ Town hall คือไม่ใช่ผู้บริหารที่มาประกาศวิสัยทัศน์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นตัวแทนของพนักงานจากต่างแผนก ที่มาร่วมกันเปิดมุมมองในการทำงาน ว่าอยากให้สัมมากรพัฒนาและก้าวหน้าไปทิศทางไหน
เริ่มต้นกันที่ คุณมะ – ชดาทิพย์ โชติศิริ สำนักกรรมการผู้จัดการ ที่มีอายุงานกว่า 20 ปี เปิดเวทีด้วยหัวข้อ ‘ครอบครัวใหญ่ในบ้านที่ชื่อว่าสัมมากร’ คุณมะเล่าว่า การทำงานเพื่อลูกค้าเริ่มจากความเข้าใจลูกค้า และในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้และการปรับตัว เพราะการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป คุณมะเน้นว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นน้องใหม่หรือพี่เก่า อยู่เบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง หากทุกคนร่วมมือกัน เราจะเข้าใจลูกค้าได้ไม่ยาก เพราะสัมมากรคือทีมเดียวกัน
ต่อด้วย คุณหนึ่ง – วสุธร มัยเจริญ ฝ่ายบริหารงานก่อสร้าง ที่มาพูดในหัวข้อ ‘สร้างบ้านที่คนทำและคนอยู่ภาคภูมิใจ’ คุณหนึ่งให้ความเห็นว่า การทำงานที่สัมมากรทำให้ได้สัมผัสกับคำว่า Work-Life Balance อย่างแท้จริง และสิ่งที่ภูมิใจที่สุดคือวัฒนธรรมองค์กรที่อบอุ่น ผู้บริหารที่รับฟังเสียงพนักงานอย่างแท้จริง ในแง่มุมของธุรกิจอสังหาฯ เชื่อว่า สิ่งที่เราควรทำคือกลับมามองตัวเองว่าอะไรคือจุดแข็ง และอะไรคือสิ่งที่ยังต้องพัฒนา คุณหนึ่งได้ทิ้งท้ายถึงการทำงานไว้ว่า “บ้านก็เหมือนเค้ก ลูกค้ากินแล้วบอกว่าอร่อย หน้าตาสวย คือรางวัลที่คนทำงานภูมิใจที่สุด และเชื่อว่าเมื่อเรารักษาความใส่ใจนี้ไว้ สัมมากรก็จะเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจคนไทยไปอีกนานครับ”
คุณเอิ้น – พัชญ์ภิญญา ถิระมาสสุวัณณ์ ฝ่ายปฏิบัติการ ขึ้นพูดในหัวข้อ ‘ชีวิตนอกเส้นทางกับการทำงานบนไทม์ไลน์’ คุณเอิ้นได้เปรียบการทำงานแข่งกับเวลาเหมือนการยิงธนู หากเราวางเป้าหมายชัด กระบวนการก็จะพาเราไปถึงเป้าได้อย่างแม่นยำ
คุณเอิ้นเสนอแนวคิดว่า หากในอนาคตระบบสามารถอัปเดตข้อมูลได้แบบเรียลไทม์และแม่นยํามากขึ้น ก็จะยิ่งช่วยให้ทุกทีมทํางานไปในจังหวะเดียวกันกับ Timeline ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และย้ำว่าการสื่อสารคือกุญแจสำคัญ เมื่อทุกคนทำงานร่วมกัน เพียงเปลี่ยนมุมมองเล็กน้อย เราจะกลายเป็นทีมเดียวกันอย่างแท้จริง
ปิดท้ายด้วย คุณเจตริน พิทักษ์วรรัตน์ ฝ่ายพัฒนาโครงการ ที่พูดในหัวข้อ ‘เมื่อการสร้างบ้าน เริ่มต้นที่การสร้างทีม’
คุณเจตรินเล่าว่า ทีมที่ดีคือรากฐานของผลลัพธ์ที่ดี เพราะการทำงานกับทีมที่คอยสนับสนุนกัน ไม่เพียงทำให้งานสำเร็จ แต่ยังทำให้การมาทำงานเป็นเรื่องสนุก บรรยากาศของทีมที่ hang out ด้วยกันหลังเลิกงาน สร้างความผูกพันมากกว่าแค่เพื่อนร่วมงาน คุณเจตรินพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า การได้เห็นลูกบ้านชอบงานที่เราทำ คือความสุขที่สุด และเชื่อว่าสัมมากรมีศักยภาพจะขยายต่อยอดไปยังธุรกิจอื่นๆ ได้อย่างแน่นอน เพราะการขยาย Product line ก็เหมือนการ Reach Target อื่นๆ ที่ยังไม่เคยสัมผัส และตอบโจทย์ลูกค้าได้กว้างกว่าที่เคย เพื่อไปสู่เป้าหมายบ้านดีที่เข้าถึงได้ทุกคนต่อไป
หลังจากเสียงของตัวแทนพนักงานจบลง บรรยากาศในห้องประชุมเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ เพราะสิ่งที่พวกเขาพูดคือเสียงจริงจากคนที่อยู่ในสนามจริง ผู้บริหารจึงเลือกที่จะไม่เพียงแค่ฟัง แต่ต่อยอดความคิดเหล่านั้นให้กลายเป็นทิศทางขององค์กร คุณปอย – ณพน เจนธรรมนุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสัมมากร ขึ้นเวทีต่อในประเด็น ‘สร้างบ้านวันนี้ให้เป็น Ecosystem ที่ดีของ 100 ปีข้างหน้า’ ด้วยประโยคที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง “อยากรับฟังและต่อยอดจากเสียงของทุกคน เพราะทุกคนสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ ผมหวังว่า Town hall วันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้เราได้ยินกันมากขึ้น วันนี้เราจะไปสู่จุดสตาร์ทใหม่ ในฐานะทีมวิ่งทีมเดียวกัน คือ ONE SAMMAKORN เราจะเริ่มต้นนับ 1 ใหม่อีกครั้ง เราจะขึ้น chapter ใหม่ เราใส่เสื้อทีมเดียวกันวันนี้ แล้วเราจะวิ่งเพื่อเป้าหมายเดียวกัน ไม่มีใครวิ่งแซงเพื่อเอาเหรียญคนเดียว ที่นี่คือพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกคนกล้าลองผิดลองถูก”
คุณปอยยังได้แชร์ Roadmap ที่จะพาสัมมากรวิ่งสู่อนาคต 100 ปีข้างหน้า ปีนี้ สัมมากรจะก้าวเข้าสู่สนามใหม่ เพื่อขยายพอร์ตธุรกิจให้แข็งแรงและหลากหลายมากขึ้น รวมถึงยังอธิบายถึงเป้าหมายที่มากกว่าแค่ยอดขาย นั่นคือการสร้างบ้านที่แข็งแรงแต่ยืดหยุ่น รองรับชีวิตของคนจากรุ่นสู่รุ่นได้ ลูกบ้านสัมมากรอยู่ได้ไม่ใช่แค่ 10 หรือ 20 ปี แต่จะอยู่ได้ถึง 100 ปี
ONE SAMMAKORN จึงไม่ใช่แค่ชื่อของแคมเปญหรือวิสัยทัศน์ใหม่ แต่คือทัศนคติที่เป็นหนึ่งเดียวกัน คือกล้าพูดและเปิดใจรับฟัง ส่งมอบงานเกินความคาดหมาย และเรียนรู้จากความผิดพลาดไปด้วยกัน เริ่มนับหนึ่งพร้อมกันอีกครั้งของคนสัมมากรทุกคน ที่จะวิ่งไปในเส้นทางเดียวกัน สร้างบ้านที่ดีและสร้างองค์กรที่ดีพอจะยืนหยัดไปอีก 100 ปีข้างหน้า