ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังวิกฤต อาจไม่ใช่แค่เรื่องของสุขภาพของโลกที่กำลังป่วย จากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและทรัพยากรที่กำลังหมดลงไป แต่สุขภาพของมนุษย์เราก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน สะท้อนถึงการเชื่อมโยงชนิดที่แยกกันไม่ออก
ทำให้ PTT ในฐานะของผู้นำด้านพลังงานจึงได้ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ ‘Powering Life with Future Energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังแห่งอนาคต’ ด้วยการขยายธุรกิจใหม่ไปสู่ความต้องการของตลาด ผู้คน และโลกใบนี้มากขึ้น โดยมีเรื่องของพลังงานสะอาดอยู่ในเป้าหมาย รวมถึงการมุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้คน
เมื่อพลังงานสะอาดและการมีสุขภาพดีคือสิ่งสำคัญ ความตั้งใจของ PTT จะนำไปสู่เป้าหมายได้อย่างไร ลองไปสำรวจกัน
สร้าง EV Value Chain เพื่อสุขภาพของโลก
หัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจ EV หรือรถยนต์ขับเคลื่อนไฟฟ้าเติบโตได้ อาจไม่ใช่เรื่องของนวัตกรรมหรือความล้ำสมัยของตัวรถ แต่เป็นเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งเรื่องของสถานีชาร์จและการบริการต่างๆ ให้ครอบคลุมเสียก่อน ผู้บริโภคจึงจะกล้าที่จะเปิดใจใช้งานมากขึ้น ทำให้ PTT วางแผนขับเคลื่อนและพัฒนา EV Value Chain หรือระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร ให้เกิดขึ้น ด้วยการจัดตั้ง บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) ที่เปรียบเหมือนบริษัทแม่ที่คอยวางรากฐาน เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม โครงสร้างพื้นฐาน และการให้บริการต่างๆ ของ EV ที่สมบูรณ์แบบ พร้อมทั้งเดินหน้าสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในปี 2065
แผนในการสร้าง EV Value Chain ของอรุณ พลัส เริ่มต้นด้วยการจับมือกับ Foxconn Technology Group จากไต้หวัน ก่อตั้ง บริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (HORIZON PLUS) เพื่อพัฒนาและผลิตรถ EV ที่โดดเด่นในเรื่องของช่วงล่างและราคาที่จับต้องได้ เนื่องจากมีฐานการผลิตที่จังหวัดชลบุรี พร้อมผลิต EV ออกสู่ตลาดภายในปี 2567
ขณะเดียวกันโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดอย่างสถานีชาร์จ อรุณ พลัสได้เปิดตัว ‘ออน-ไอออน’ (on-ion) สถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) โดยมีจุดแข็งที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ คือ เป็นเครื่องอัดประจุไฟฟ้าชนิดกระแสสลับ (AC Charger) รองรับรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ทั้ง EV, Plug in Hybrid และ BEV (Battery Electric Vehicle) ทุกรุ่น ทุกแบรนด์สามารถเชื่อมต่อการจองใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน และที่สำคัญคือการเตรียมขยายจุดให้บริการไปยังศูนย์การค้า, โรงแรม, อาคารสำนักงาน, ร้านอาหาร ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
นอกจากการพัฒนาและขยายสถานีชาร์จแล้ว กลุ่ม ปตท. ยังได้เติมเต็มระบบนิเวศของ EV ด้วยการเปิดประสบการณ์การใช้งาน EV โดยบริษัท อีวี มี พลัส จำกัด (EVME PLUS) ในแบบ Subscription ผ่านแพลตฟอร์ม ‘อีวี มี’ (EVme) หรือบริการรถเช่า EV รายแรกในประเทศไทยที่จองง่าย ใช้งานง่ายผ่านแอปฯ เดียว แถมยังมีแบรนด์รถชั้นนำระดับโลกให้บริการมากมาย ตั้งแต่ MG, GWM, Volvo, Ford Mustang, Mini Cooper, Tesla เรียกว่าเป็นใบเบิกทางให้กับกลุ่มลูกค้าใหม่ เปิดใจใช้งาน EV มากยิ่งขึ้น พร้อมกันนั้นกลุ่ม ปตท. ยังมองไกลไปถึงธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับการใช้มอเตอร์ไซด์ไฟฟ้าด้วยการจัดตั้งบริษัท สวอพ แอนด์ โก จำกัด (Swap & Go) เปิดตัว’สวอพ แอนด์ โก’ (Swap and Go) แพลตฟอร์มให้บริการสลับแบตเตอรี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เพื่อเจาะตลาดกลุ่มไรเดอร์ในธุรกิจจัดส่งอาหารและสินค้าที่กำลังเติบโต โดยมีจุดขายคือการเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอชาร์จไฟ ตอบสนองการใช้งานด้านบริการที่ต้องต่อเนื่อง
ปิดท้ายด้วยการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญไม่แพ้กับสถานีชาร์จ โดย อรุณ พลัส ร่วมกับ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. ก่อตั้ง นูออโว พลัส (NUOVO PLUS) เพื่อวิจัยและพัฒนาแบตเตอรี่ที่ใช้งานสำหรับรถ EV รวมถึงการกักเก็บไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ภายใต้แนวคิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้คือแผนในการสร้าง EV Value Chainของ PTT ภายใต้การดำเนินงานของอรุณ พลัส สร้างภาพลักษณ์ใหม่ในการก้าวสู่ธุรกิจพลังงานสะอาดของ PTT ที่จะเปลี่ยนอนาคตได้
บุกธุรกิจ Life Science เพื่อสุขภาพที่ดีของเรา
อย่างที่เกริ่นไปกว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมเชื่อมโยงมาสู่ปัญหาสุขภาพของมนุษย์เรา ทำให้ PTT มีเป้าหมายต่อมาในการยกระดับชีวิตผู้คน ด้วยการก่อตั้ง บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับการลงทุนที่ขยายฐานธุรกิจเข้าไปในกลุ่มธุรกิจยา, วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ และอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรม New S-Curve ที่รัฐกำลังส่งเสริม เพื่อตอบรับกับเทรนด์สุขภาพ รวมถึงการก้าวเข้าสู่งสังคมสูงวัยสมบูรณ์ของประเทศไทย เรียกว่าเป็นมิติใหม่ด้านการลงทุนของ PTT ที่น่าจับตาอย่างมาก
เริ่มต้นกันที่ด้านธุรกิจยา อินโนบิกจะมุ่งเน้นการผลิตยาชีววัตถุที่มีนวัตกรรม ซึ่งเป็นยาที่กำลังมีบทบาทในอนาคตเพื่อทดแทนการใช้ยาเคมี และหากเป็นยาสามัญจะเน้นการทำธุรกิจยาสามัญที่เพิ่งหมดสิทธิบัตร หรือมีการปรับเปลี่ยนวิธีการบริโภคให้มีความสะดวกมากขึ้น ส่วนด้านการรักษาโรคจะให้ความสำคัญกับโรคไม่ติดต่อหรือ NCDs ซึ่งเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคอ้วน รวมทั้งโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารและโรคการผิดปกติของระบบประสาท ส่วนด้านการลงทุน อินโนบิกได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Lotus Pharmaceutical บริษัทยาชั้นนำระดับโลกจากไต้หวัน รวมทั้งจับมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งคณะแพทยศาสตร์และคณะเภสัชศาสตร์ เพื่อร่วมกันพัฒนา ‘โมเลกุลมณีแดง’ หรือยีนที่มีส่วนช่วยให้เซลล์ที่เสื่อมสภาพกลับมาดีขึ้น ซึ่งเป็นการใช้องค์ความรู้ด้านพันธุศาสตร์พัฒนาวงการแพทย์ของประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างมาก
ด้านธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ อินโนบิกได้ต่อยอดธุรกิจปิโตรเคมีที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว จากทั้ง IRPC และ GC โดยมองถึงการเชื่อมโยงวัตถุดิบที่เป็นผลพลอยได้จากการทำปิโตรเคมีมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ต่อยอดเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ อย่างเช่น ถุงมือยาง หน้ากากอนามัย ชุดป้องกันเชื้อโรค หรือการใช้เม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีน มาผลิตเป็นผ้า Melt Blown รวมทั้งผลิตยางสังเคราะห์ ซึ่งก่อนหน้านี้วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์เหล่านี้จำเป็นต้องนำเข้าทั้งสิ้น แต่เมื่อสามารถผลิตเองได้ภายในประเทศ จึงเป็นการสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุขและอุตสาหกรรมทางการแพทย์ได้อีกด้วย
ด้านธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ อินโนบิกมุ่งสนับสนุนการมีสุขภาพที่ดีขึ้น ผ่านผลิตภัณฑ์โภชนาการที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ โดยเฉพาะเทรนด์อาหารที่กำลังมาแรงอย่าง Plant-based โดยร่วมลงทุนกับ Plant & Bean ประเทศอังกฤษ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืช โดยนำเทคโนโลยีการผลิตจากอังกฤษมาตั้งไว้ที่ไทย พร้อมกับแผนที่จะผลิตส่งออกไปทั่วโลก และยังได้เปิดตัวร้าน ‘alt. Eatery’ คอมมูนิตี้อาหาร Plant-based ที่ตั้งอยู่สุขุมวิท 51 เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายคนรักสุขภาพ ไปพร้อมๆ กับการผลิตสินค้าโปรตีนจากพืช ทดแทนการใช้เนื้อสัตว์เพื่อจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็น ไก่ไม่มีกระดูก ไก่ป๊อป นักเก็ต และเกี๊ยวซ่า ซึ่งเป็น Plant-based ทั้งหมด นอกจากนี้ยังได้ก่อตั้ง บริษัท อินโนบิกนูทริชั่น จำกัด เพื่อพัฒนาอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ที่ออกแบบมาสำหรับแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ ตามอายุ เพศ หรือความต้องการด้านโภชนาการ
ทั้งหมดนี้คือแผนในการขยายธุรกิจของ PTT ด้วยวิสัยทัศน์ใหม่ ‘Powering Life with Future Energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังแห่งอนาคต’ทั้งการสร้าง EV Value Chain ภายใต้การดำเนินงานของอรุณ พลัส และการก้าวเข้าสู่ธุรกิจ Life Science
ภายใต้การดำเนินงานของอินโนบิกสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของ PTT ที่เตรียมพร้อมสู่อนาคต ก้าวไปไกลมากกว่าเรื่องพลังงาน