เพราะโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แค่หยุดอยู่เฉยๆ ก็เหมือนเดินถอยหลังไปเสียแล้ว ดังนั้นธุรกิจยุคนี้จึงพยายามปรับตัวให้ทันความเปลี่ยนแปลง ล่าสุดบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของไทย อย่าง “แสนสิริ” ก็เดินเกมปรับตัวจากแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไปสู่แบรนด์ระดับโลก ด้วยการลงทุนเงินกว่า 2,800 ล้านบาท (ประมาณ 80 ล้านเหรียญสหรัฐ) ลงในธุรกิจด้านเทคโนโลยีอสังหาริมทรัพย์ และไลฟ์สไตล์ของต่างประเทศทั้งหมด 6 แบรนด์ พร้อมๆ กัน โดยหนึ่งในนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นบริษัทไลฟ์สไตล์ชื่อดังที่หลายคนรู้จักกันดีอย่าง “โมโนเคิล” (Monocle)
การลงทุนใหญ่ครั้งนี้นับเป็นบิ๊กมูฟของกิจการในไทยที่ไม่ได้พบเห็นกันบ่อยๆ ที่อยู่ๆ บริษัทในบ้านเราจะเข้าไปลงทุนในบริษัทระดับโลกพร้อมกันทีเดียวรวดถึง 6 แบรนด์ สำหรับ เหตุผลที่แสนสิริตัดสินใจเดินเกมแบบนี้ เพราะ 1. ต้องการขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกและลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และมีศักยภาพในการสร้างรายได้ใหม่ๆ ให้แก่บริษัท และ 2. ไม่ต้องการเป็นเพียงบริษัทอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียว แต่มีแนวคิดที่จะเป็นบริษัททางด้านไลฟ์สไตล์ด้วย
ฉะนั้นในปีหน้า ก็มีโอกาสที่เราจะได้เห็นจุดขายใหม่ๆ ของแสนสิริ ที่เกิดมาจากความร่วมมือกับธุรกิจดังกล่าว เช่น โครงการที่พักอาศัยแบบมิกซ์ยูส (Mixed-use) ที่ร่วมกับโมโนเคิลในพื้นที่กรุงเทพฯ ก็จะเป็นโอกาสที่แฟนๆ ของโมโนเคิลจะได้สัมผัสธุรกิจจากโมโนเคิลในประเทศไทย
สำหรับ 6 แบรนด์ที่แสนสิริได้เข้าไปลงทุน ได้แก่
เดอะ สแตนดาร์ด (The Standard Hotel)
แบรนด์โรงแรมสายอินดี้สนุกๆ ที่เปลี่ยนโฉมธุรกิจโรงแรมไปสู่ทิศทางใหม่ ไม่ซ้ำใคร ถามว่าแปลกแค่ไหน? ดูง่ายๆ ได้จากโลโก้ที่กลับหัว สำหรับโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด แห่งแรกนั้นเปิดในปี พ.ศ.2542 ที่เวสต์ ฮอลลีวู้ด สหรัฐอเมริกา
โรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด มีจุดขายสุดว้าว ด้วยการสร้างประสบการณ์การเข้าพักในรูปแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบดีไซน์เพื่อเป็นสถานที่แห่งความคิดสร้างสรรค์ และเอารูปแบบการใช้ชีวิตของชุมชนและวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ที่โรงแรมตั้งอยู่มารวมไว้ โดยปัจจุบัน เดอะ สแตนดาร์ด มีโรงแรมในเครือทั้งหมด 5 แห่ง ที่ลอสแอนเจลิส นิวยอร์ก และไมอามี่ และกำลังจะเปิดทำการเร็วๆ นี้ที่ลอนดอนและซานฟรานซิสโก
นอกเหนือจากโรงแรมแล้ว กลุ่มธุรกิจสแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล (Standard International) ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมยังมีบริษัทในเครืออื่นๆ อีก เช่น Bunkhouse โรงแรมสไตล์บูติคโฮเท็ล และยังมีแอปพลิเคชั่นจองห้องพักแบบนาทีสุดท้ายชื่อ “วันไนท์” (One Night) โดยแสนสิริเข้ามาลงทุนในสแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล ด้วยมูลค่า 58 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และถือหุ้นอยู่ 35%
วันไนท์ (One Night)
วันไนท์เป็นแอปพลิเคชั่นจองโรงแรมในวันเดียวกับที่เข้าพัก พัฒนาขึ้นโดยบริษัทสแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล ด้วยความเชื่อที่ว่า “ค่ำคืนที่พิเศษไม่ควรถูกใช้อย่างผ่านเลยไปในที่ที่ไม่มีอะไรพิเศษ” จึงนำเสนอทางเลือกที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการวางแผนและจองที่พักในวันเดียวกับที่จะเข้าพัก โดยผู้ใช้เพียงแค่กดหน้าจอโทรศัพท์มือถือครั้งเดียวก็สามารถจองห้องพักได้ทันที
โดยมีโรงแรมที่รองรับการจองกว่า 150 แห่ง ในเมืองใหญ่ทั่วโลก 13 เมือง เช่น ลอนดอน นิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส ไมอามี ฯลฯ นอกจากนี้ วันไนท์ยังนำเสนอข้อมูลพิเศษแบบชั่วโมงต่อชั่วโมง เพื่อให้ผู้ใช้แอปพลิเคชั่นสามารถใช้ประโยชน์ในการเข้าพักได้อย่างเต็มที่มากขึ้น เช่น ให้คำแนะนำว่าต้องไปทำอะไร ดูอะไร หรือกินเที่ยวที่ไหน เมื่อมาพักที่โรงแรม
โฮสต์เมกเกอร์ (Hostmaker)
โฮสต์เมกเกอร์เป็นบริษัทจากอังกฤษ ที่ให้บริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่าและอยู่อาศัยสำหรับแอร์บีเอ็นบี (Airbnb) โดยได้รับรางวัลการันตีคุณภาพในระดับโลก พูดอีกอย่างคือ ให้บริการช่วยจัดการเรื่องการจองบ้านพักแบบครบวงจรสำหรับเจ้าของบ้านที่ต้องการเพิ่มศักยภาพในการทำรายได้จากบ้านตัวเองผ่านแอร์บีเอ็นบี
ในทางกลับกัน ทางลูกค้าที่จองที่พักของโฮสเมกเกอร์ก็จะได้รับประสบการณ์การบริการที่ดีและอุ่นใจ เช่น ห้องพักที่สะดวกสบาย มีสไตล์ บริการและดูแลอย่างดี ทั้งเรื่องการติดต่อสื่อสาร การส่งตัวแทนไปคอยต้อนรับ ดูแลเรื่องการเช็คอิน และการส่งมอบกุญแจบ้าน เป็นต้น
ปัจจุบันโฮสต์เมกเกอร์ดำเนินธุรกิจในหลายเมือง อาทิ ลอนดอน โรม ปารีส และบาร์เซโลนา และให้บริการลูกค้ามาแล้วกว่า 150,000 คน สำหรับในอนาคต โฮสต์เมกเกอร์มีแผนจะขยายธุรกิจมาสู่ทวีปเอเชียภายใต้การสนับสนุนของแสนสิริ
จัสท์โค (JustCo)
จัสท์โคเป็นผู้ให้บริการพื้นที่ทำงานแบบโคเวิร์คกิ้งสเปซ(Co-working space) ระดับพรีเมี่ยมที่ใหญ่ที่สุดและประสบความสำเร็จมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 11 แห่ง
สำหรับจุดเด่นที่จัสท์โคแตกต่างจากผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซรายอื่น คือ มีเครือข่ายอันแข็งแกร่งและการสร้างพันธมิตรระยะยาวจากการที่สมาชิกสามารถเข้าถึงตลาดระดับภูมิภาค รวมทั้งสามารถเลือกแพ็กเกจการใช้บริการที่เหมาะสมกับธุรกิจของตนเองได้อย่างหลากหลาย โดยปัจจุบันมีบริษัทชั้นนำที่ใช้บริการพื้นที่ของจัสท์โค เช่น PwC’s Venture Hub, Drop Box และ Salesforce
ความน่าสนใจของการร่วมมือระหว่างแสนสิริกับจัสท์โค คือการที่แสนสิริจะนำศักยภาพของจัสท์โคในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการให้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซมาช่วยต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตัวเอง โดยมีแผนจะเปิดจัสท์โคในกรุงเทพฯ ในปีหน้า ทั้งหมด 4 แห่ง และ มีแผนที่จะไปเปิดในเมืองใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น จาการ์ต้า กัวลาลัมเปอร์ โฮจิมินซิตี้ และมะนิลา อีกด้วย
โมโนเคิล (MONOCLE)
โมโนเคิลเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะสื่อที่พลิกโฉมวงการสิ่งพิมพ์ ด้วยการนำเสนอเรื่องราวข่าวสารต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบโลก ทั้งธุรกิจ ชีวิตความเป็นอยู่สำหรับคนเมือง วัฒนธรรม และดีไซน์ โดยเป็นนิตยสารรายเดือนและจัดจำหน่ายไปยังประเทศต่างๆ กว่า 65 ประเทศ
นอกจากนี้ยังมีนิตยสารในเครือที่ตีพิมพ์เป็นประจำทุกปีอย่าง The Forecast และ The Escapist ปัจจุบันโมโนเคิลเป็นสื่อครบวงจรที่มีทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อทางเสียง และสื่อออนไลน์
ความน่าสนใจของโมโนเคิลที่ทำให้หลายคนมองว่ามันเป็นมากกว่าสื่อทั่วไป คือ การพยายามสร้างการมีส่วนร่วมกับแฟนๆ และสร้างประสบการณ์กับโมโนเคิลในรูปแบบอื่นๆ เช่น การทำร้านค้ารีเทล การทำร้านคาเฟ่ในลอนดอนและโตเกียว สำหรับความร่วมมือกับแสนสิริ ทางแสนสิริก็มีแผนที่จะนำโมโนเคิลเข้ามาต่อยอดพัฒนาอยู่ในโครงการที่พักอาศัยมิกซ์ยูส(Mixed-used) ในกรุงเทพฯ ในปีหน้า (พ.ศ. 2561)
ฟาร์มเชลฟ์ (Farmshelf)
ฟาร์มเชลฟ์ เป็นบริษัทด้านนวัตกรรมการปลูกผักในที่อยู่อาศัย เปิดตัวครั้งแรกใน พ.ศ.2558 มีสำนักงานใหญ่ในนิวยอร์ก เกิดจากไอเดียที่ต้องการให้คนในเมืองสามารถปลูกพืชผักกินเองอย่างง่ายๆ ได้อีกครั้ง แถมยังประหยัดเวลามากขึ้น เพราะผักที่ปลูกด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีของฟาร์มเชลฟ์จะเจริญเติบโตเร็วกว่าการปลูกแบบดั้งเดิมถึงสองเท่าและใช้น้ำน้อยกว่า ประมาณร้อยละ 90
และแน่นอนว่า สำหรับการร่วมมือกับฟาร์มเชลฟ์ ทางแสนสิริก็จะนำนวัตกรรมการปลูกผักในที่อยู่อาศัยเข้ามาใช้ในโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ ถือเป็นการสร้างกิมมิกหรือจุดขายให้โครงการของแสนสิริไปด้วยอีกทาง ยกตัวอย่าง โครงการ oka HAUS ที่มีการนำ Farmshelf ไปวางไว้ที่ Co-Kitchen ให้ลูกบ้านทุกคนได้ใช้บริการ
ทั้งหมดนี้เป็น 6 แบรนด์ธุรกิจด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์และไลฟ์สไตล์ที่แสนสิริเข้าไปลงทุนด้วยเงินกว่า 2,800 ล้านบาท นับเป็นก้าวที่น่าจับตาของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ใหญ่แห่งนี้ว่าจะสร้างปรากฎการณ์อะไรต่ออีกบ้าง ซึ่งจริงๆ กลยุทธ์การร่วมมือกับพันธมิตรไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับแสนสิริสักทีเดียว เพราะก่อนหน้านี้แสนสิริเคย ร่วมมือกับบริษัทในไทยอย่างบีทีเอส (BTS) โดยใช้พื้นที่ติดรถไฟฟ้าของบีทีเอสมาพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย อย่างเดอะ ไลน์ (The Line) จนประสบความสำเร็จ