คงไม่ต้องบอกว่าทุกวันนี้เทคโนโลยีได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของเราไปมากมายขนาดไหน นวัตกรรมต่างๆ ได้รับการคิดค้นขึ้นมาเพื่อให้การใช้ชีวิตของเราง่ายขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งการอยู่ในบ้าน ที่มีการดึงเอาเทคโนโลยีอย่าง AI, IoT และ Big Data เข้ามาใช้กันอย่างแพร่หลาย
ประกอบกับเทรนด์ของ PropTech (Property Technology) หรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัยก็ไม่เคยหยุดนิ่ง และกำลังเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เหล่านักลงทุนกำลังให้ความสนใจ พร้อมทุ่มเงินลงทุนให้กับเหล่าสตาร์ทอัพได้คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมให้ล้ำยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งการอยู่บ้านเฉยๆ ก็ว่าสบายแล้ว แต่นวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้การอยู่บ้านสบายมากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน
ลองมาดูกันว่า นวัตกรรมที่เกิดขึ้นแล้วได้เปลี่ยนการใช้ชีวิตของเราไปอย่างไร และจะทำให้อนาคตของเราสบายมากขึ้นขนาดไหน
ซื้อบ้านง่ายขึ้นด้วย Big Data และ Blockchain
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้ Big Data ถูกนำมาใช้ในแวดวงธุรกิจกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับด้าน Digital Marketing ด้วยประโยชน์ของข้อมูลจำนวนมหาศาลทำให้สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคได้แบบเจาะลึก ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เองก็ได้นำประโยชน์นี้มาใช้เช่นกัน เพื่อเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาในการเลือกซื้อบ้าน โดยการใช้ Big Data มาวิเคราะห์และจับคู่ระหว่างผู้ขายที่มีโครงการบ้านหลากหลายโครงการกับผู้ซื้อที่กำลังต้องการบ้านในแบบที่ต้องการ ช่วยแก้ปัญหาในการเลือกซื้อบ้านที่มักมีปัญหาของตัวเลือกที่มากเกินไปและไม่ตรงตามความต้องการ ให้กลับมาตอบโจทย์ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายได้มากขึ้น
ส่วนเรื่องของ Blockchain ที่ disrupt ธุรกิจการเงินไปอย่างมาก โดยเฉพาะ FinTech ทั้งหลายที่ได้รับอิทธิพลไปเต็มๆ การคาดการณ์ว่าตลาดของ Blockchain จะเติบโตถึง 20 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2024 แถมตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาเหล่านักลงทุนได้ลงทุนในบริษัทที่ทำงานด้านนี้ไปว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปแล้ว ขณะเดียวกันก็ยังส่งผลกระทบในทางบวกมายังแวดวงของ PropTech อีกด้วย
เพราะได้เข้ามาช่วยตอบโจทย์ในเรื่องการช่วยตรวจสอบความน่าเชื่อถือและประวัติทางการเงิน ของผู้ที่ต้องการกู้ซื้อบ้านได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ต้องรอยื่นเรื่องตรวจสอบหลายวันอีกต่อไป ทำให้ทั้งลูกค้า ธนาคาร และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์สามารถทำธุรกรรมได้ง่ายขึ้น
บ้านที่ประหยัดได้ด้วยพลังงานทางเลือก
ปัญหาเรื่องของการใช้พลังงานภายในบ้านคือปัญหาใหญ่ที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ภายในบ้านที่เพิ่มมากขึ้นสวนทางกับแหล่งพลังงานที่ลดน้อยลงไปทุกที จึงทำให้เทรนด์ของการออกแบบบ้านสมัยใหม่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมหรือ Eco-friendly ให้มากที่สุด อย่างเช่นการออกแบบที่ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแสงสว่างที่ใช้การเปิดพื้นที่ให้ตัวบ้านได้ใช้แสงธรรมชาติจากภายนอก เพื่อทดแทนการใช้หลอดไฟ และเลือกใช้วัสดุที่ลดความร้อนภายในบ้าน ตั้งแต่สีที่ทาไปจนถึงวัสดุกันความร้อน เพื่อลดการใช้แอร์ปรับอากาศให้มากที่สุด หรือจะเป็นการตกแต่งที่ใช้วัสดุจากการ upcycling ที่ทั้งสวยงามและช่วยลดปริมาณขยะได้เช่นกัน
แต่จะล้ำยิ่งกว่าถ้าในอนาคตเราสามารถผลิตพลังงานทางเลือกไว้ใช้เองภายในบ้านได้ด้วย หลายคนคงคุ้นเคยกับแผงโซลาร์เซลล์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ประสิทธิภาพอาจจะไม่ได้เป็นที่ยอมรับมากนัก และยังมีปัญหาขยะจากแผงโซลาร์เซลล์ที่หมดอายุอีก จากการช่วยลดพลังงานกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมแทน จึงทำให้เกิดแนวคิดในการสร้าง กังหันลมอัจฉริยะ ซึ่งเป็นผลงานของ Semtive บริษัทสตาร์ทอัพจากอเมริกา ที่ใช้การติดตั้งกังหันลมขนาดเล็กอยู่บนหลังคาบ้านเพื่อผลิตไฟฟ้าสำหรับใช้ในบ้านได้ทันที โดยไม่ต้องอาศัยกระแสลมแรงเหมือนโรงงานไฟฟ้าพลังงานลมแต่อย่างใด แถมยังมีระบบอัจฉริยะที่ช่วยให้เจ้าของบ้านสามารถจัดการกับพลังงานที่เก็บสะสมไว้ได้แบบไม่สูญเปล่า หากไม่ได้ใช้ก็สามารถนำมาแลกเปลี่ยนกับบ้านอื่นๆ ในชุมชนได้ เรียกว่านอกจากจะช่วยประหยัดพลังงานแล้ว ยังแบ่งปันพลังงานให้คนอื่นได้ใช้อีกด้วย สำหรับเมืองไทย คาดว่าเราจะได้เห็นกังหันลมอัจฉริยะนี้ในบางโครงการของแสนสิริภายในปีนี้
ชีวิตดีในบ้านด้วยแอปพลิเคชันและหุ่นยนต์ผู้ช่วย
โดยปกติแล้วนิยามของการอยู่อาศัยภายในบ้านถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สบายที่สุดสำหรับมนุษย์อย่างเราๆ อยู่แล้ว แต่ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกพัฒนามาเพื่อการอยู่อาศัยกลับยังช่วยให้การอยู่บ้านของเราสบายมากขึ้นไปอีก ตั้งแต่นวัตกรรมอย่าง รีโมทคอนโทรล เกิดขึ้น ก็ช่วยให้เราเปิดทีวี แอร์ ผ้าม่าน ฯลฯ ได้โดยที่ไม่ต้องลุกไปไหนแล้ว แต่ทุกวันนี้เมื่อเราก้าวเข้าสู่ยุค IoT ทุกอย่างกลับพัฒนาไปมากกว่านั้น เมื่อบ้านธรรมดาๆ ได้กลายเป็น Smart Home มีรายงานจาก IFA Berlin และ GfK ว่าคนทั่วโลกกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ยอมรับว่า Smart Home จะเปลี่ยนวิถีชีวิตเดิมๆ ของเราในระยะเวลาอันใกล้นี้ ด้วยเทคโนโลยีอย่าง AI ที่ฉลาดกว่าแค่การทำตามคำสั่งที่เรากด อย่างเช่นใน Google Assistant ผู้ช่วยอัจฉริยะที่อยู่ในสมาร์ทโฟนทุกเครื่อง รับคำสั่งด้วยเสียง พร้อมทำงานร่วมกับ Home Service App ที่ช่วยเหลือเราได้ตั้งแต่การโอนบ้านไปจนถึงเข้าอยู่ จะเช็คค่าน้ำ ค่าไฟ จองพื้นที่ส่วนกลาง หรือจะเปิดปิดไฟ ผ้าม่านในบ้านก็ทำได้ อย่าลืมว่าทุกอย่างนี้สามารถทำได้เพียงแค่เรานั่งเฉยๆ แล้วเอ่ยปากพูดเท่านั้น
ในขณะที่ผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมก็สบายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะปัญหาอย่างหนึ่งของคนที่อาศัยอยู่คอนโดคือการต้องไปรับพัสดุจากส่วนกลาง ไม่ได้มีไปรษณีย์มาเคาะหน้าห้อง ในขณะที่เจ้าของมักจะไม่ค่อยสะดวกติดต่อรับพัสดุในช่วงเวลาที่นิติบุคคลเปิดทำการ จึงเป็นที่มาของหุ่นยนต์ส่งของที่ชื่อว่า SAN:DEE Delivery Bot ซึ่งเป็นผลงานการร่วมมือระหว่าง แสนสิริกับสตาร์อัพชั้นนำที่สามารถรับส่งของตามห้องต่างๆ ภายในอาคารได้ด้วยตนเอง เพียงแค่โหลดของลงในช่องและกดคำสั่ง เจ้าหุ่นยนต์ก็จะเดินไปยังที่หมาย แถมยังขึ้นลิฟต์เองได้ด้วย เมื่อถึงหน้าห้องก็จะโทรศัพท์เรียกคนที่อยู่ในห้องให้ออกมารับของ ซึ่งมีการให้บริการจริงในคอนโดมิเนียมบางแห่งในบ้านเราแล้ว แถมในอนาคตยังมีโอกาสที่จะพัฒนาเจ้าหุ่นยนต์นี้ให้เป็นเจ้าหน้าที่เดินตรวจตราและดูแลความปลอดภัย เพิ่มมาอีกหนึ่งฟังก์ชันที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความปลอดภัยได้เป็นอย่างดี
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสบายและสมบูรณ์แบบของการอาศัยอยู่ในบ้าน ซึ่งเกิดขึ้นจากเทรนด์ของ PropTech ที่เหล่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ต่างกำลังให้ความสำคัญ โดยมีทั้งที่เกิดขึ้นจริงแล้วและกำลังพัฒนาอยู่ เช่นเดียวกับ Siri Ventures บริษัทร่วมทุนระหว่างแสนสิริและธนาคารไทยพาณิชย์ในรูปแบบ Corporate Venture Capital ที่ทำการวิจัยและลงทุนเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อผู้อยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบเป็นรายแรกของไทย
รวมไปถึงการลงทุนในกลุ่มสตาร์ทอัพ อย่างเช่นกังหันลมจาก Semtive และหุ่นยนต์ SAN:DEE ก็เป็นหนึ่งในการร่วมพัฒนาที่ทำสำเร็จมาแล้ว โดยจุดประสงค์หลักก็เพื่อเติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน และความสะดวกสบายของลูกบ้านแสนสิริ
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://www.globalrealestateexperts.com/2018/01/9-proptech-trends-look-2018-2020/
http://www.cushmanwakefield.com/en/research-and-insight/2018/proptech-trends
http://www.caelusgreenroom.com/2018/01/10/4-trends-eco-friendly-home-design-2018/