มีคนเคยบอกไว้ว่า การจะได้ภาพถ่ายที่ดี อุปกรณ์ไม่สำคัญเท่ากับมุมมองที่มีต่อการถ่ายภาพนั้นๆ ซึ่งก็ต้องอาศัยทั้งความรักและความเข้าใจ เพื่อเก็บเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วถ่ายทอดออกมาให้ดีที่สุด
แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เทคโนโลยีการถ่ายภาพทุกวันนี้ ช่วยให้ช่างภาพสามารถทำงานได้อย่างสะดวกสบาย ตั้งแต่การเปลี่ยนผ่านจากฟิล์มมาสู่ดิจิทัล รวมไปถึงฟังก์ชันต่างๆ ที่ช่วยให้การเก็บภาพบางช็อตอันแสนยากเย็นในอดีต กลายเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมากขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว ทั้งเรื่องของอุปกรณ์และมุมมองจึงเป็นส่วนที่สนับสนุนกัน
The MATTER คุยกับ เกรียงไกร ไวยกิจ ศิลปินช่างภาพอิสระที่เดินทางบนถนนสายนี้มากว่า 30 ปี เคยร่วมแสดงนิทรรศการศิลปะภาพถ่ายทั้งในและต่างประเทศมาแล้วมากมาย ถึงมุมมองในการถ่ายภาพที่ต้องอาศัยความรัก ความเชื่อมั่นในอุปกรณ์อย่างกล้องและเลนส์
รวมถึงแนวคิดในภาพถ่ายของเขาที่นำมาจัดแสดงในนิทรรศการ Sony Meets Art ที่รวมศิลปินช่างภาพกว่า 17 ท่านจากทั่วโลก เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวที่แตกต่างอย่างมีศิลปะ สะท้อนมุมมองที่หลากหลายอย่างมีชั้นเชิง ซึ่งประกอบกันเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดภาพถ่ายอันงดงามและสะท้อนเรื่องราวออกมาได้อย่างหมดจด
แรงบันดาลใจแรกที่ทำให้สนใจการถ่ายภาพคืออะไร
ขอเท้าความกลับไปตั้งแต่ตอนเด็กๆ พ่อผมจะมีกล้องคอมแพคตัวเล็กๆ อยู่ตัวหนึ่ง แล้วผมก็มักจะมีหน้าที่ในการถ่ายรูปครอบครัวจากกล้องตัวนี้ แล้วหลังจากนั้นก็ทิ้งช่วงหายไป พอเรียนศิลปะ ช่วงสุดท้ายที่เรียนประมาณปี 4 ก็ได้จับกล้อง ช่วงนั้นจะยืมเพื่อนๆ ใช้เป็นส่วนใหญ่ ยังไม่มีกล้องเป็นของตัวเอง เป็นช่วงจังหวะที่เรียนและรับงานพิเศษด้านการออกแบบไปเรื่อยๆ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ชอบเดินทาง ชอบท่องเที่ยว แบ็คแพ็คในประเทศ ไปแถวตามป่า เขา ดอยต่างๆ ซึ่งสมัยนั้นไม่มีการคมนาคมที่สะดวก ก็จะใช้วิธีเดินไป แล้วก็มาเขียนเรื่องส่งนิตยสารท่องเที่ยว มันก็ถึงเวลาที่น่าจะมีกล้องเป็นของตัวเองแล้ว พอเรียนจบทำงาน เราก็เก็บเงินไว้ก้อนหนึ่ง จึงเอาเงินก้อนนี้มาซื้อกล้องมือสองของตัวเอง ประมาณปลายปี 2525 จำได้เลยว่าราคา 8,500 บาท เพราะชอบถ่ายรูปมากๆ และคิดว่ามันเอื้อประโยชน์กับการเดินทาง เพราะถ้าไม่ได้งานเขียน เราก็ได้ถ่ายรูป ได้เห็นอะไรสิ่งที่เราไม่เคยเห็น ได้ทำในสิ่งที่เรารัก และดำรงชีพได้ด้วย
อะไรคือจุดเปลี่ยน ที่ทำให้ตัดสินใจยึดอาชีพช่างภาพเป็นอาชีพหลัก
ตอนนั้นรายได้ก็ยังไม่ค่อยมากเท่าไร เพราะฉะนั้นทางเดียวที่เราจะได้อุปกรณ์เพิ่มเติมก็ต้องหารายได้พิเศษจากการส่งรูปเข้าประกวดบ้าง เขียนหนังสือบ้าง ผมทำงานประจำเกี่ยวกับการออกแบบ พวก Special Effect ภาพยนตร์ การ์ตูน โฆษณา ก่อนจะลาออกจากงานประจำตอนปี 2533 ระหว่างนั้นก็ใช้เวลาพอสมควร ได้ทำความเข้าใจกับกล้อง ทั้งๆ ที่ความคิดตอนที่เรียนศิลปะคือถ้าจบมาก็อยากจะเป็นศิลปิน แต่พอได้มาจับกล้องก็ค้นพบว่าการสร้างสรรค์งานศิลปะ ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นบนผืนผ้าใบเสมอไป เราสามารถสร้างสรรค์งานศิลปะผ่านมุมมองจากกล้องและเลนส์ได้เช่นกัน
ปกติแล้วถนัดถ่ายภาพแนวทางไหนมากที่สุด
ในช่วงเวลาผมถ่ายภาพมาร่วม 40 ปี ช่วงหนึ่งผมพยายามคิดว่าแนวทางของตัวเองว่าจะเป็นแบบไหน จนเดินทางมาถึงจุดหนึ่ง ก็ค้นพบว่าผมไม่มีแนวทางเป็นของตัวเองใดๆ ทั้งสิ้นเลย คือผมไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกรอบของการถ่ายภาพ ว่ามันจะต้องเป็นแนวนั้นเป็นแนวนี้ อยากใช้อิสระเสรีเต็มที่ในการสร้างสรรค์ อยากจะถ่ายอะไรที่คิดว่าอยากถ่าย เพราะฉะนั้นผมก็จะถ่ายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น แลนด์สเคป สถาปัตยกรรม หรือวิถีชีวิตผู้คน ฉะนั้นเวลามีคนถามว่าแนวทางผมเป็นแบบไหน ผมก็บอกว่าผมไม่มีแนวทาง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือผมรักการถ่ายรูป
ทุกครั้งที่จะถ่ายภาพสักภาพ เกิดขึ้นจากโจทย์ก่อนหรืออาศัยการออกไปแสวงหา แล้วจึงออกไปถ่าย ผลลัพธ์ที่ได้ต่างกันไหม
มีทั้งตั้งโจทย์ แล้วก็ไม่ตั้งโจทย์ เนื่องจากว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการถ่ายรูปที่ผมใช้มาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ก็คือการอดทนรอคอยและการช่างสังเกต คำว่าช่างสังเกตนี่สำคัญมากๆ เลย เพราะว่าในหลายๆ ครั้งภาพดีๆ ก็มักจะได้ระหว่างการเดินทาง ก่อนจะถึงเป้าหมายเสียด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ช่วงจังหวะที่ผมเริ่มต้นถ่ายภาพใหม่ๆ ช่วงประมาณสัก 10 ปีแรก ที่ยังไม่มีรถเป็นของตัวเอง ช่วงนั้นเป็นช่วงยุคทองของการสังเกตเลย เนื่องจากผมเป็นคนจังหวัดราชบุรี ตอนเข้ากรุงเทพฯ ใหม่ๆ จะชอบเดินไปตามรางรถไฟเรื่อยๆ ผมเคยเดินจากสถานีรถไฟมักกะสัน กรุงเทพฯ ไปถึงสถานีคลองหลวงแพ่งที่ฉะเชิงเทรา หรือนั่งรถเมล์ตั้งแต่ต้นสายจนสุดสาย เพื่อที่จะสังเกตสิ่งรอบข้าง แล้วถ่ายทอดออกมาผ่านภาพถ่าย
คิดว่าอุปกรณ์ที่ดีมีผลต่อการได้ภาพที่ดียังไงบ้าง
ก็มีทั้งมีและไม่มีผล เนื่องจากว่าผมเริ่มต้นมาจากกล้องฟิล์ม ตอนแรกใช้ก็เป็นกล้องฟิล์ม 135 แต่ตอนหลังก็ได้มาจับ Medium format ที่ได้ขนาดภาพเป็น 6×6 เราพอใจในภาพขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัส เพราะไม่ต้องคำนึงว่ามันจะต้องเป็นแนวตั้งหรือแนวนอน ทำให้มีสมาธิกับตรงนี้มากขึ้น และไม่ได้ใช้กล้อง 135 อีกเลย ระยะหลังก็เริ่มกำหนดทิศทางแล้วว่า ถ้าเราไปตรงนี้ เลนส์ที่น่าจะใช้ได้มันควรจะเป็น 24-70 mm, 16-35 mm หรือ 85 mm ก็จะพกไปตัวเดียว ทำให้มีสมาธิกับมันมากขึ้น พยายามจะทำให้ดีที่สุดกับอุปกรณ์ที่เรามีอยู่เพียงเท่านี้ ซึ่งมีข้อดีคือทำให้เราโฟกัสเรื่องของอุปกรณ์น้อยลง ไม่ต้องพะรุงพะรังพกอุปกรณ์ แต่โฟกัสในเรื่องเนื้อหากับมุมมองข้างหน้าให้มากขึ้น ซึ่งได้ประโยชน์กับงานถ่ายรูปเราเยอะมาก
พอมาถึงช่วงเปลี่ยนผ่านมาสู่ยุคดิจิทัล ใช้เกณฑ์อะไรที่การเลือกกล้องตัวใหม่เพื่อแทนกล้องฟิล์ม
ผมเพิ่งมาจับกล้องดิจิทัลได้ประมาณแค่ 6 ปีเท่านั้นเอง ยอมรับว่ากล้องถ่ายรูปในปัจจุบันพัฒนาไปเยอะมาก ในช่วงระยะของการเปลี่ยนผ่านก็คิดอยู่ตลอดว่าจะมาใช้ยี่ห้ออะไร ระหว่างนั้นก็จะใช้วิธีที่ไปเช่ามาลองดู ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจได้ อันนี้ไม่ได้โฆษณา ก็คือตัดสินใจมากใช้กล้อง Sony เพราะได้พิสูจน์แล้วว่า ความแตกต่างของไฟล์ภาพในแต่ละแบรนด์ไม่ได้แตกต่างกันมากสักเท่าไร ผมคิดอย่างเดียวว่า กล้องที่เราจะเอามาแทนกล้องฟิล์มมันควรจะเป็นกล้องที่เราจับแล้วถูกจริตกับตัวเรา และพอใจกับสัมผัสที่ได้รับ เราต้องมีความสุขกับมัน ตรงนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญมากๆ เลย
เรื่องของฟังก์ชันการใช้งาน มีผลมากน้อยขนาดไหนในการเลือก
ผมใช้ฟังก์ชันในการถ่ายรูปน้อยมาก ที่ใช้หลักๆ จะมีแค่ปรับ Shutter speed ปรับค่า F-number ปรับ ISO หรือ White Balance อย่างอื่นก็อย่างเช่น Picture style ต่างๆ ผมไม่ได้ปฏิเสธเรื่องฟังก์ชันหรือเทคโนโลยีต่างๆ ที่เข้ามาในกล้องเลย อย่างของ Sony ที่มี Eye focus นี่ก็เป็นประโยชน์มาก จริงๆ ผมเริ่มใช้ตระกูล A7 มาตั้งแต่รุ่นแรกแล้ว ปัจจุบันรุ่นที่ใช้อยู่คือ Sony A7 mark III สิ่งที่มันยอดเยี่ยมอย่างหนึ่งก็คือความละเอียด 24.2 ล้านพิกเซล ได้ประโยชน์มากๆ ในการถ่ายบางครั้ง ซึ่งเราไปเจอเหตุการณ์ที่มันฉับพลันทันที แล้วไม่มีจังหวะพิถีพิถันในการจัดองค์ประกอบของภาพ ด้วยความที่ภาพละเอียดมากขนาดนี้ทำให้สามารถ Crop บางส่วนมาใช้กับงานที่มีขนาดใหญ่ได้ คือสามารถ Crop ประมาณเศษ 1 ส่วน 8 ของภาพ เพื่อมาปริ้นท์ภาพขนาด 80×100 เซนติเมตร ได้โดยไม่เสียคุณภาพไฟล์ไปมากนัก
หรือข้อดีในเรื่องของการปิดเสียงชัตเตอร์ และระบบกันสั่น 5 แกน เพราะว่าถึงแม้ผมจะใช้ขาตั้งบ่อยก็ตาม แต่ระบบกันสั่นจะช่วยในสภาพแสงที่น้อย เมื่อจำเป็นต้องใช้ Speed shutter ต่ำๆ แล้วก็เรื่องของ Dynamic range ในการไล่เฉดสีที่เป็นประโยชน์มาก มีขนาดที่กะทัดรัด แล้วก็พอมาใช้กับเลนส์ที่พัฒนาในแบบของ Sony ในรุ่น G master ซึ่งผมมีเลนส์ในชุดนี้อยู่หลายตัว ประทับใจมาก อย่างเช่น G master 85 mm F1.4 หรือ G master 24-70 mm F2.8 เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเราได้อุปกรณ์คู่ใจที่เหมาะกับตัวเรา ก็จะเอื้อประโยชน์ต่อความคิดสร้างสรรค์ในการบันทึกเรื่องราวข้างหน้าที่เกิดขึ้นได้ดี
ทำไมถึงเชื่อว่า ‘ความรัก’ จะเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ถ่ายทอดภาพออกมาได้ตรงความรู้สึกที่สุด
สำหรับผม วันหนึ่งที่ต้องมาจับกล้องหลังจากปี 2533 ก็ยังแปลกใจว่า ผมไม่ได้วาดรูปอีกเลย เพราะถ้าจะมองแบบเข้าข้างตัวเอง ผมมีพรสวรรค์ในการวาดรูปมาก ตอน ป.5 ก็วาดรูปเหมือนขายแล้ว จนสอบเรียนต่อช่างศิลป์ได้ แต่พอได้มาค้นพบเรื่องกล้อง ก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่รัก ถามว่าการถ่ายภาพมันตอบแทนจนร่ำรวยไหม ผมก็ไม่ได้ร่ำรวยมากมายจากการถ่ายภาพ แต่ถามว่าดำรงชีพอยู่ได้ไหม ตรงนี้ดำรงชีพอยู่ได้ตามสมควร พอเรารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่รักมากๆ ทำให้ทุกช็อตต้องผ่านการกลั่นกรองทั้งหมด รักในภาพที่เห็นข้างหน้า ไม่เคยเบื่อหน่ายกับการรอคอย เพราะฉะนั้นองค์ประกอบเหล่านี้มันคือการทำด้วยความรักทั้งหมด ผมไม่ได้มีเป้าหมายว่าถ่ายภาพนี้แล้วจะขายได้หรือขายไม่ได้ เป้าหมายคือรู้สึกมีความสุขที่ได้กดชัตเตอร์ แล้วได้เห็นงานออกมา เมื่อเราได้ทำสิ่งที่เรารักแล้ว เชื่อว่าจะมีแต่เรื่องดีๆ เข้ามาในชีวิต
มองว่าอะไรคือหัวใจของภาพถ่ายที่ดี
ผมว่าต้องถ่ายมาจากใจเรา ใจเราต้องซื่อสัตย์กับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ให้เกียรติกับธรรมชาติ ให้เกียรติกับผู้คนที่เราถ่าย เพราะฉะนั้นผมว่าภาพที่ดี องค์ประกอบของมันก็ต้องมาจากความรู้สึกจริงๆ ในขณะที่เรากดชัตเตอร์ ต้องตั้งใจทุกช็อต อย่าคิดว่าแค่กดไปอย่างนั้น บางทีเราถ่ายช็อตเดียวในสถานการณ์เดียว อาจจะกดไปเป็นพันรูปเลย แล้วการที่เลือกมารูปเดียว มันก็ไม่ผิด พอท้ายที่สุดแล้ว จากพฤติกรรมที่ผมเอาตัวเองเป็นเครื่องวัด ค้นพบว่ารูปที่ดีที่สุด มักจะเกิดขึ้นในไม่กี่ช็อตแรกๆ ของการกดชัตเตอร์เสมอ
อยากให้แนะนำช่างภาพมือใหม่ที่กำลังค้นหาแนวทางของตัวเองอยู่
ภาพถ่ายเป็นงานศิลปะอีกแขนงหนึ่ง มีรูปแบบตัวตนของมัน ความชอบของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน คุณค่าของมันจะถูกกรองโดยคนที่รับรู้หรือคนที่ชมเองว่าจะชอบแบบไหน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตาม ล้วนแต่เอื้อประโยชน์ต่อความรักของคนที่ถ่ายรูปทั้งสิ้น สิ่งที่อยากแนะนำคือถ่ายให้มาก แล้วค่อยๆ มาพิจารณางานตัวเอง ดูความรู้สึกตัวเองในขณะที่กดชัตเตอร์ว่าชอบแบบไหน แล้วพอถึงจุดนั้น ก็จะพร้อมพัฒนางานในแบบที่ชอบต่อไปได้
อยากให้เล่าถึงภาพถ่ายที่เลือกมาจัดแสดงในโครงการ Sony Meets Art ว่าสะท้อนมุมมองที่มีต่อภาพอย่างไร
ภาพแรกที่เป็นภาพถ่ายของโลหะปราสาทและภูเขาทอง คือส่วนตัวเป็นคนที่ชอบเข้าวัด เพราะอดีตตัวเองก็เคยเป็นเด็กวัด เรียนโรงเรียนวัด บ้านก็อยู่ข้างวัด ผูกพันมาตั้งแต่เด็ก สิ่งเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกว่า วัดเป็นศูนย์รวมของวิทยาการทั้งหมด มุมภาพที่ถ่ายนี้ถ่ายจากนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ เราตั้งโจทย์กับตัวเองว่า ถ้าเราจะถ่ายโลหะปราสาทและภูเขาทอง เราจะถ่ายไม่ให้เหมือนคนอื่น แล้วมุมนี้เป็นมุมที่ถ่ายทอดเรื่องราวได้ เพราะคนเห็นตั้งแต่ Foreground ที่เป็นส่วนของอาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ มีแสงแห่งจินตนาการที่พุ่งขึ้นไปตรงหน้าต่าง ทำให้เราจินตนาการไม่สิ้นสุดว่าข้างหน้ามันจะเป็นอะไร พอมองลึกลงไปก็เป็นโลหะปราสาท แล้วในช่องของหน้าต่างก็เห็นภูเขาทอง เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องราวของแสงเงาที่เกิดขึ้นในตัวอาคาร แล้วพุ่งไปที่เรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นจากสถานที่แห่งนี้
ภาพนี้ได้มาจากตอนที่เดินทางไปทำกิจกรรม Sony กับกลุ่มช่างภาพ เป็นภาพของต้นหูกวางที่กำลังจะตาย เพราะมันไปขึ้นอยู่บนแทงค์น้ำคอนกรีต เหตุผลที่มันไปขึ้นตรงนั้นได้ ก็คงมาจากจังหวะที่น้ำทะเลขึ้น ทำให้ลูกหูกวางที่ชอบดินเค็ม ดินทราย อาจจะลอยมาติดอยู่ตรงนั้น ตอนที่น้ำลง ต้นหูกวางก็งอกขึ้นมา พอโตได้ถึงระดับหนึ่ง ด้วยความที่พื้นเป็นคอนกรีต มันก็ตาย ประกอบกับพฤติกรรมของชาวประมงที่หากินบริเวณนั้น สะท้อนถึงชีวิตที่กำลังดำเนินต่อไป ในขณะที่ชีวิตของกิ่งไม้แห้งสิ้นสุดลงแล้ว พระอาทิตย์ก็ยังคงขึ้นจากวงโคจรของโลก ซึ่งเป็นไปตามวัฏจักรของมัน ผมมองว่าตรงนี้คือสัจธรรมของชีวิต
ภาพนี้เป็นรากของต้นตะบูน เป็นไม้ป่าชายเลน ถ่ายที่จังหวัดตราด จังหวะที่ผมขึ้นไปบริเวณพื้นที่ที่ถ่าย แทบไม่มีพื้นดินให้ยืนเลย เป็นรากอากาศที่ลอยขึ้นมาตะปุ่มตะป่ำเต็มไปหมด ต้นตะบูนต้นนี้เรียกว่าเป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดต้นหนึ่งของประเทศ น่าจะอายุเกือบสามร้อยปี เพราะปีหนึ่งๆ เส้นวงปีของต้นน่าจะโตไม่ถึง 5 มิลลิเมตร ผมมองว่าถ้าต้นตะบูนต้นนี้คิดได้พูดได้ เขาก็คงจะเล่าเรื่องราวที่ย้อนกลับไปสองสามร้อยปีที่แล้ว ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในชีวิตเขาบ้าง แล้วประกอบกับช่วงที่ผมไปถ่ายก็เกือบ 6 โมงเย็น เริ่มมืดแล้ว จังหวะแสงที่สลัวได้สร้างจินตนาการที่มันเหนือจริง สร้างความรู้สึกลึกลับ ความรู้สึกน่าเกรงขามที่เราจะต้องเคารพ ถึงต้นตะบูนต้นนี้อายุเกือบสามร้อยปี ถ้าจะตัดจริงๆ ก็ใช้เวลาตัดไม่น่าจะเกินครึ่งชั่วโมงก็ตัดหมดทั้งต้นแล้ว เพราะท้ายที่สุด พอเราไปยืนตรงนั้นท่ามกลางรากไม้ของต้นตะบูน ตัวเราเล็กนิดเดียว มนุษย์เมื่อเทียบกับธรรมชาติ มนุษย์นี่ตัวเล็กมากๆ เป็นแค่ธุลีดินเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นการที่จะอยู่กับธรรมชาติ เราจะต้องอยู่ด้วยความเคารพมากกว่าที่จะอยากทำลาย
สุดท้ายแล้ว มองว่าคุณค่าของภาพถ่ายสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมได้อย่างไร
ด้วยความที่ภาพถ่ายไม่เหมือนงานศิลปะทัศนศิลป์ประเภทอื่นๆ เพราะนำเสนอในเชิงเสมือนจริง แล้วการตีความก็เรียบง่าย ไม่มีความลึกล้ำมาก จึงเอื้อประโยชน์ต่อการส่งต่อผู้คน และเอื้อประโยชน์ให้คนได้หันมาสนใจตัวตนของความเป็นมนุษย์มากขึ้น มีอยู่ภาพหนึ่งที่ผมถ่ายในยุคฟิล์ม เมื่อปี 2536 ซึ่งปัจจุบัน ผมก็ยังไม่สามารถที่จะถ่ายภาพแบบนั้นได้อีกเลยในชีวิต มันเป็นภาพที่แสดงถึงความเอื้ออาทรที่มีต่อเพื่อนร่วมโลก เป็นภาพคนแก่นอนอยู่นอกมุ้ง ส่วนในมุ้งมีหมาแม่ลูกอ่อนนอนอยู่ ถ่ายที่ลานหน้าสวนอัมพร คือยายรู้ว่าหมาตัวนี้กำลังคลอดลูกอ่อน ยายจึงกล้าที่จะเสียสละตัวเองมานอนนอกมุ้ง ภาพลักษณะแบบนี้จะช่วยส่งเสริมให้มนุษย์มีจิตใจเอื้อเฟื้อ เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เพราะมนุษย์ไม่ได้เป็นเจ้าของแผ่นดินนี้ ยังมีสัตว์ทุกชนิดที่เป็นเจ้าของแผ่นดินนี้ด้วย นี่ก็เลยเป็นเหตุผลว่าภาพถ่ายสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คนมาสนใจในชีวิตมากขึ้น เพราะภาพถ่ายไม่ใช่แค่การบันทึกประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังสามารถบันทึกความดีงามได้ด้วย