“นอนอยู่ด้วยกันทุกคืน เคยมองเห็นกันบ้างไหม”
คำพูดนี้ไม่ใช้คำพูดที่คู่รักบ่นน้อยใจกันแต่อย่างใด แต่เป็นคำเตือนที่หมายถึง ‘ฝุ่น’ สิ่งเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ร่วมห้องนอนกับเราทุกคืน แต่เรากลับไม่เคยมองเห็นหรือรู้เลยว่าเจ้าสิ่งเล็กๆ เหล่านี้กำลังแอบทำร้ายเราอย่างไร
คนทั่วโลกถึง 1 ใน 4 เป็นโรคภูมิแพ้ เฉพาะในไทยเองกว่า 70 เปอร์เซ็นต์สาเหตุการเป็นโรคภูมิแพ้ มาจากไรฝุ่นที่หลบซ่อนอยู่ในห้องนอน มีการประเมินคร่าวๆ ว่า เตียงนอนแต่ละเตียงมีไรฝุ่นอาศัยอยู่อย่างน้อยๆ ประมาณ 10 ล้านตัว! ยังไม่นับจุดอื่นๆ ของห้องนอนอีกมากมาย เพราะในฝุ่นบ้าน 1 กรัม อาจพบไรฝุ่นได้ถึง 500 ตัวเลยทีเดียว นอกจากโรคภูมิแพ้แล้ว ฝุ่นก็ยังเป็นสาเหตุของโรคหอบหืด โรคทางเดินหายใจ และอาจลามไปถึงโรคมะเร็ง เรียกว่าเล็กแต่ร้ายกาจจริงๆ
ก่อนที่ความใกล้ชิดจะกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายกัน ลองเปิดใจทำความรู้จักกับสิ่งเล็กๆ เหล่านี้ให้มากขึ้น และดูว่าจะมีหนทางไหนที่เราจะสามารถรักษาระยะห่างเรากับฝุ่นเหล่านี้ให้ห่างไกลจากชีวิตได้บ้าง
ฝุ่นมาจากไหน
จากผลศึกษาของ Paloma Beamer ศาสตราจารย์ด้านสิ่งแวดล้อมแห่ง University of Arizona พบว่าแท้จริงแล้ว การที่ฝุ่นไม่มีวันหมดไปก็เพราะฝุ่นมีต้นกำเนิดเกิดขึ้นจากปัจจัยที่อยู่ทั้งนอกบ้าน และในผสมผสานเข้าด้วยกัน ซึ่งปกติถ้าเป็นอณูเล็กๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศเราก็อาจจะมองไม่ค่อยเห็น แต่ถ้าฝุ่นไปเกาะตามพื้นผิวต่างๆ จนหนาแน่นเข้า แล้วลองเอานิ้วปาดดู นั่นแหละถึงจะได้เห็นฝุ่นกันแบบชัดๆ
กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของฝุ่นเกิดขึ้นนอกบ้าน มีลักษณะเป็นฝุ่นที่มีขนาดเล็กลอยปะปนอยู่กับอากาศ มักจะลอยผ่านช่องหน้าต่างหรือประตูยามที่เราเปิด หรือติดมากับเสื้อผ้าของเรา พอเราเข้าบ้านมาฝุ่นเหล่านี้ก็ลอยกระจัดกระจายไปติดตามพื้นผิวต่างๆ รวมไปถึงบางส่วนที่เป็นฝุ่นขนาดใหญ่ติดมากับรองเท้า ส่วนฝุ่นอีก 40 เปอร์เซ็นต์ เกิดขึ้นภายในบ้านจากวัสดุต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรมหรือผ้าห่มที่มีเส้นใยไฟเบอร์ขนาดเล็กสามารถปลิวหลุดออกมาได้ง่าย สะเก็ดผิวหนังกำพร้าอย่างเช่นรังแคของทั้งมนุษย์เรา และสัตว์เลี้ยง ซึ่งสะเก็ดผิวหนังเหล่านี้นี่เอง ที่เป็นตัวล่อให้พวกไรฝุ่นมากิน จนเพิ่มปริมาณขึ้นมหาศาล นอกจากนั้นก็เป็นจำพวกเศษอาหาร หรือเศษซากของสัตว์รังควานที่อาศัยอยู่ในบ้าน โดยเฉพาะแมลงสาบ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคภูมิแพ้อีกด้วย
อย่าเห็นเป็นเพียงแค่ฝุ่นที่เข้าตา
แม้ว่าฝุ่นจะมีอนุภาพขนาดเล็ก แต่เมื่อสะสมรวมกันมากเข้าก็ใหญ่โตขึ้นตามขนาดของพื้นที่ ฝุ่นเล็กๆ เหล่านี้สามารถเดินทางเข้าระบบหายใจผ่านทางปากและจมูกจนเข้าไปสู่ปอดได้อย่างง่ายดาย อันเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคภูมิแพ้ จากการสำรวจพบว่าผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ในไทยส่วนใหญ่ มีสาเหตุมาจากไรฝุ่นมาเป็นอันดับหนึ่ง แถมหนักเข้าอาการแพ้เหล่านี้ยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคหอบหืด และนำไปสู่การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
นอกจากความเสี่ยงในเรื่องโรคภูมิแพ้และโรคหอบหืดแล้ว จากงานวิจัยในวารสาร Environmental Science and Technology ของอเมริกา ยืนยันว่า ฝุ่นภายในบ้านของเรานั้นเต็มไปด้วยพิษจากสารเคมีที่เกิดจากสารเคมีในน้ำหอม เครื่องสำอาง แชมพู รวมไปถึง สารหน่วงไฟ ที่นำมาใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ประเภทผ้าต่างๆ เช่น โซฟา พรม ผ้าม่าน ซึ่งมีคุณสมบัติไม่ติดไฟ เพื่อลดอันตรายจากเหตุเพลิงไหม้ สารเคมีเหล่านี้คือตัวก่อมะเร็งชั้นดี และมีผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์อีกด้วย นักวิทยาศาสตร์ย้ำเตือนว่า สมาชิกในบ้านที่เสี่ยงอันตรายจากฝุ่นเคมีเหล่านี้มากที่สุดคือเด็กๆ ในบ้านนั่นเอง เพราะมีโอกาสที่จะสัมผัสกับฝุ่นได้มากกว่าผู้ใหญ่ จากการคลานเล่นบนพื้น และมีโอกาสที่เด็กจะนำมือที่เปื้อนฝุ่นเข้าปากอีกด้วย จึงเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อแม่ควรระวังเป็นอย่างมาก
ใกล้กันไม่ได้ ก็รักษาระยะห่างไว้
อย่างที่รู้ๆ กันว่า ฝุ่นจัดการอย่างไรก็ไม่มีวันหมด แถมฝุ่นเป็นอณูขนาดเล็กที่เมื่อลอยไปจับพื้นผิวใดๆ แล้วก็มักจะทำความสะอาดได้ยากและไม่ทั่วถึง วิธีตัดไฟแต่ต้นลมที่ง่ายที่สุดคือรักษาระยะห่างระหว่างเรากับฝุ่น เพราะฝุ่นจะรวมตัวกันด้วย Electrostatic หรือไฟฟ้าสถิตได้ง่ายกว่าในส่วนของพื้นที่ที่มีการไหลเวียนของอากาศน้อย ทางลดฝุ่นเบื้องต้นก็คือการจัดห้องนอนให้เป็นสไตล์มินิมอล คือลดเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่เป็นจุดสะสมฝุ่นให้หมดหรือให้มีน้อยชิ้นที่สุดเพื่อให้ง่ายแก่การทำความสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรมต่างๆ ถ้าไม่มีได้ยิ่งดี ส่วนเตียงนอนก็ต้องเปลี่ยนผ้าปู และปลอกหมอนทุกสัปดาห์ หมั่นสังเกตจุดที่ฝุ่นสะสมได้ง่าย โดยเฉพาะตามซอกหรือมุมโดยใช้อุปกรณ์ที่สามารถเข้าถึงซอกมุม และตามใต้ตู้เตียง เพื่อลดการสะสมของฝุ่น เช่น การใช้เครื่องดูดฝุ่นที่เป็นแนวราบ และมีไฟ LED อย่าง เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Philips SpeedPro Max ก็จะช่วยทำให้ซอกซอนเข้าไปทำความสะอาดได้อย่างง่ายดาย และครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
การเลือกเครื่องดูดฝุ่นดีๆ และใช้งานง่ายจะลดภาระการทำความสะอาด ทำให้เอาชนะความขึ้เกียจในการทำความสะอาดได้ Philips SpeedPro Max จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่ใช้งานแบบไม่มีสายเกะกะได้ต่อเนื่องนานถึง 65 นาทีต่อการชาร์ตไฟ 1 ครั้ง มาพร้อมกับหัวดูด 360 องศาทำให้ดูดได้สะอาดเร็วกว่า เพราะเพียงแค่ลากทีเดียวก็สามารถดูดฝุ่นที่อยู่รอบๆ ได้หมด ครอบคลุมทุกพื้นผิว มีหัวดูดขนาดเล็กในตัวเข้าถึงได้ทุกซอกทุกมุม ไฟ LED ที่หัวดูดช่วยส่องสว่างให้เห็นกันแบบชัดๆ ส่วนบนเบาะหรือพรมที่ฝุ่นจับตัวแน่นก็มีหัวดูแบบ Turbo brush ที่ใช้งานง่าย และสะดวกที่สุดคือเทคโนโลยีไร้ถุงเก็บฝุ่น ลดปัญหายุ่งยากในการถอดไปล้าง แต่เปลี่ยนเป็นถังเก็บฝุ่นที่ถอดง่าย และเทฝุ่นออกได้โดยไม่มีฝุ่นฟุ้งกระจาย
เปลี่ยนความใกล้ชิดที่เคยทำร้ายกัน ให้เป็นความห่างไกลและปลอดภัยต่อสุขภาพ
อ้างอิงข้อมูลจาก
https://www.onhealth.com/content/1/how_to_create_a_dust-free_bedroom
https://molekule.com/blog/where-doest-dust-come-from-source-house-solutions/
https://www.npr.org/templates/story/story.php?storyId=120252957?storyId=120252957
https://www.thealternativedaily.com/top-4-risks-much-dust-home/