“รูปภาพที่ถ่ายไปแล้วมันดีทุกรูปแหละ”
คือสิ่งที่ แฝด – ประสิทธิ์ ลิมปสถิรกิจ หรือที่รู้จักกันในชื่อ 21DAY หนึ่งในช่างภาพที่น่าจับตา นิยามไว้ถึงถึงฟังก์ชั่นของภาพถ่ายสักภาพ ที่เขามองเป็นเรื่องของการเก็บความทรงจำ ณ ช่วงเวลานั้น เช่นเดียวกับสไตล์ภาพถ่ายของเขา ซึ่งโดดเด่นเรื่องการเก็บอารมณ์ของตัวแบบ และสามารถสื่อสารเรื่องราวอะไรบางอย่างในภาพออกมาได้อย่างหมดจด
เคล็ดลับสำคัญของแฝด คือการดึงอารมณ์ของคนออกมาผ่านการสังเกต และไม่ลืมที่จะดึงศักยภาพของอุปกรณ์ออกมาให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ได้ภาพที่ดีที่สุด รวมไปถึงฟังก์ชั่นของรถสักคันที่ช่วยในการเดินทาง ก็เป็นสิ่งที่ซัพพอร์ตการทำงานของเขาให้ดียิ่งขึ้น
เริ่มต้นจับกล้องครั้งแรกตอนไหน
ตอนเรียนอยู่ปี 3 ปี 4 ในวิชาเรียนก็มีเรียนถ่ายภาพ แต่ว่าก็ยังไม่ได้สนใจเรื่องการถ่ายภาพเท่าไหร่ ช่วงนั้นเป็นยุคที่กล้อง Lomo กำลังฮิตแรกๆ เราก็เอากล้องนี้มาถ่าย ช่วงนั้นก็ชอบ ด้วยคอนเซ็ปต์มันคือการถ่ายโดยที่ไม่คิดอะไร หรือ Point and shoot คืออยากถ่ายอะไรก็ถ่ายเลย รู้สึกว่าสนุกดี พกไว้ Snap ตลอดเวลา แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้สนใจว่ามันจะเป็นอาชีพได้หรือเปล่า แค่ชอบถ่ายเป็นงานอดิเรกเฉยๆ
แล้วมีจุดเปลี่ยนอะไร ทำให้เริ่มถ่ายภาพเป็นอาชีพ
ตอนนั้นได้เข้าไปทำงานในแมกกาซีนเล่มหนึ่ง อาชีพเป็นคอลัมนิสต์ เขียนเกี่ยวกับพวกศิลปะ ออกแบบคอมพิวเตอร์กราฟิก แล้วก็ต้องออกไปสัมภาษณ์ แล้วทีนี้คนในออฟฟิศเขาลาออกไป บางอย่างเราก็เลยต้องทำแทน ก็คือเรื่องถ่ายรูปนี่แหละ จะมีกล้องออฟฟิศอยู่ตัวหนึ่งที่เป็นดิจิทัลแล้ว ช่วงนั้นเราก็เลยต้องออกไปสัมภาษณ์เสร็จก็ต้องถ่ายรูปด้วย พอถ่ายไปถ่ายมาก็กลายเป็นว่าเราก็รับตำแหน่งนี้ไปด้วยเลย ก็คือเวลามีงานอีเวนต์ของออฟฟิศเราก็ต้องออกไปถ่าย หรือว่าสัมภาษณ์ก็ออกไปถ่าย หลังจากนั้นก็เริ่มชอบเลย แต่ก็ยังไม่คิดว่าเป็นอาชีพได้อยู่ดี
แค่รู้ว่าชอบถ่ายรูปเฉยๆ รึเปล่า
แค่รู้ว่าชอบถ่ายรูป ช่วงนั้นก็เลยเก็บเงินจากเงินเดือนซื้อกล้องตัวแรก ก็คือลองถ่ายทุกอย่างเลย คน สัตว์ สิ่งของ ลองจนรู้ว่าเราชอบถ่ายอะไรกันแน่ จนสุดท้ายก็รู้ว่า อ๋อ เราชอบถ่ายภาพ Portrait ชอบถ่ายคน ถ่ายแล้วก็ลงเฟซบุ๊กอะไรไปเรื่อยๆ คนก็เริ่มเห็นงาน ถามว่า ว่างไหมมาถ่ายรับปริญญาให้หน่อยสิ มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่เป็นอาชีพ ตอนนั้นไปถ่ายจำได้ว่าทั้งวันได้ 3,500 บาท ก็รู้สึกว่าโอเค ได้ตังค์กินขนม หลังจากนั้นก็เลยรับงานถ่ายภาพมาเรื่อยๆ
มองว่าการถ่ายภาพ ได้เปลี่ยนตัวเองอย่างไร
ก่อนหน้านี้เป็นคนค่อนข้างไม่ค่อยมั่นใจ ขี้อาย ไม่ค่อยชอบอยู่กับคนเยอะๆ เท่าไหร่ พอมาได้ถ่ายรูปมันก็เหมือนเปลี่ยนตัวเองไปเรื่อยๆ เราต้องกล้าที่จะพูด กล้าที่จะบอกเขา กล้าที่จะสั่ง เป็นเรื่องจิตวิทยาเล็กๆ ด้วย เราจะคุมอารมณ์ตัวเองให้ไม่ตื่นเต้นยังไงดี เพื่อให้ได้ภาพ เหมือนเรามีเรื่องราวที่อยากจะเล่าอยู่ในหัว แต่ไม่รู้จะระบายออกมายังไง คิดว่าการถ่ายรูปมันช่วยระบายบางอย่างออกไปได้
ใช้เวลานานไหมกว่าจะค้นพบสไตล์อย่างทุกวันนี้
แรกๆ ที่ถ่ายรับปริญญา ช่วงนั้นเป็นช่วงของการฝึกเทคนิคสุดๆ ทั้งมุมภาพ เทคนิค การแต่งแสง ใช้อุปกรณ์อะไรต่างๆ แต่พอเราถ่ายไปเรื่อยๆ เรื่องอุปกรณ์ ก็มีบทบาทน้อยลง กลายเป็นเรื่องของ Mood ว่าภาพจะออกมาเป็นยังไง ความรู้สึกจะเป็นยังไง คือผมจะต้องชอบในรูปที่ตัวเองถ่ายก่อน เราต้องอิน แล้วก็ถ่ายจากความชอบตัวเองเป็นหลัก สมมติว่าดูรูปก็จะชอบแบบภาพที่ดูสะอาด ดูสบายตา ถึงแม้มันจะเป็นรูปแบบธรรมดา แต่ในนั้นต้องมีโมเมนต์หรือมีความรู้สึกอะไรบางอย่างในภาพ จากอุปกรณ์เยอะ เทคนิคเยอะ แล้วค่อยๆ ตัดทอนออกไป จนเหลือแบบเริ่มมองหาแสงธรรมชาติ ไม่ได้ใช้แสงแฟลชแล้ว ผมชอบถ่ายตอนแบบพระอาทิตย์ใกล้ๆ จะตกแล้ว ก็เริ่มสังเกตท้องฟ้า สังเกตหลายๆ อย่าง เพื่อให้ภาพมันดูสบายที่สุด ชอบอารมณ์ของภาพที่เกิดจากแสงธรรมชาติ
สไตล์ Candid เรียกว่าเป็นแนวที่ถนัดรึเปล่า
ส่วนตัวชอบ Candid เพราะด้วยความที่เมื่อก่อนขี้อาย ไม่ได้อยากจะอยู่แถวหน้า ไม่กล้าเลยที่จะสั่งแบบมองกล้องนี้ๆ ครับ ถ้าเป็นเกมก็คงเป็นสายแบบสไนเปอร์ สังเกตการณ์อยู่ไกลๆ เห็นภาพกว้างๆ คิดว่า Candid เหมาะกับเราที่สุดแล้ว เพราะว่าเป็นเหมือนการจับจังหวะ และเพราะเราอยู่ไกลด้วยมั้ง เราเลยเห็นทุกอย่างว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นบ้าง แล้วเราก็ไปอยู่ในจุดที่ดีที่สุดที่จะได้ภาพมา
แล้วอย่างการถ่าย Wedding คิดว่าอะไรที่ทำให้ 21DAY กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น
สำหรับงาน Wedding ผมจะชอบถ่ายอะไรที่มันเกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งเมื่อก่อนก็ตัน แบบว่าไม่รู้จะถ่ายอะไรจริงๆ ในงานแต่ง ทุกอย่างเป็นแพทเทิร์นไปหมดเลย แล้ววันหนึ่งถ่ายอยู่ดีๆ ก็อกหัก แล้วก็ไม่อินกับเรื่องความรักเลย แย่มาก ไม่อินที่ทุกคนต้องมานั่งแสดงความรัก มันกลายเป็นว่าพอเราถ่ายมาเรื่อยๆ เราก็ไม่ได้คิดเรื่องมุมภาพ เรื่องความสวยงาม แต่กลายเป็นการมองว่าเขาแต่งงานครั้งหนึ่งในชีวิต แล้วเราเห็นภาพที่เขากอดคุณพ่อคุณแม่แล้วร้องไห้ สิ่งนี้มันเลยเติมเต็ม รู้สึกว่าดีใจจังเลยที่ได้อยู่ในงานนั้น แล้วได้เก็บภาพจังหวะนั้น เพราะบ่าวสาวเวลาอยู่ในงาน เขาไม่มีเวลาสนใจอะไรหรอก เขามีอะไรต้องทำไปเยอะแยะไปหมดเลย ถ้าได้รูปพวกนี้ที่สามารถเล่าเรื่องได้ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วเขามานั่งดูทีหลัง มันก็คงรู้สึกดีที่เขาได้เห็นรูปที่เราเก็บจังหวะนั้นทัน
มองว่าอะไรคือเสน่ห์ของการถ่ายภาพ Portrait
การถ่ายภาพ Portrait มันมีอะไรโต้ตอบระหว่างกัน คือคนมีชีวิต และมีจุดกึ่งกลางระหว่างเรากับตัวแบบที่ทำให้ออกมาเป็นภาพถ่าย มีการส่งไปส่งมา มันเป็น Feeling ความรู้สึกบางอย่างที่ลงตัวกันพอดี เราสามารถดึงความเป็นเขาออกมา แล้วเราก็เอาความเป็นเราใส่เข้าไป คนละครึ่งทาง แล้วก็ออกมาเป็นรูปหนึ่งใบ ซึ่งแบบแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันเลย เหมือนเราก็ได้เรียนรู้ การถ่าย Portrait ช่วงหลังๆ ผมจะเลือกแบบเอง เพราะงานชิ้นหนึ่งมันไม่ใช่เราคนเดียวแล้ว ซึ่งก็ต้องแมตช์กัน คือนางแบบสำคัญมากที่จะสื่อแบบอารมณ์เข้ากับเราได้ เราอยากได้ Feeling แบบนี้ แล้วเขาก็เข้าใจ ล่าสุดไปอ่านมาเหมือนเวลาที่คนเราสื่อสารกัน คือคำพูดประมาณ 7% น้ำเสียง 38% แต่ที่เหลือคือภาษากาย เพราะภาพมันไม่มีทั้งเสียงและน้ำเสียง มีแต่ภาษากายอย่างเดียวเลย เพราะฉะนั้นภาษากายคือทั้งหมดที่ส่งออกไป คนที่ดูรูปภาพจะรู้สึกได้
มีเทคนิคอะไร ในการดึงตัวตนของตัวแบบออกมา
เราก็จะดูจากว่าเขาเป็นคนยังไง ยิ้มไหม คือบางทีรอยยิ้มของคนที่อายุ 18 ก็จะยิ้มสุด ยิ้มแบบไร้เดียงสา แต่คนอายุ 30 กว่า รอยยิ้มจะไม่ได้ไร้เดียงสาแล้ว จะไม่ได้ยิ้มกับเรื่องง่ายๆ มันเป็นยิ้มที่ยากขึ้นแล้ว เพราะผ่านอะไรมาเยอะ อย่างนี้เราก็จะรู้ว่าเขาได้แค่ไหน จึงต้องสังเกตคนที่เราถ่ายว่าเขาเป็นคนประมาณไหน บางทีเขาอาจจะมีกำแพงบางอย่าง จะมาแบบให้ยิ้มเลย ก็ไม่ได้ คือต้องเปิดใจเข้าหากัน แล้วอีกอย่างหนึ่ง ผมว่ามันเป็นเรื่องของความสวยงามที่อยู่ในภาพ เช่น มุมไหนหน้าเขาสวย หรือสรีระที่เขาไม่มั่นใจ เช่น แขนใหญ่ เราก็ต้องช่วยกลบ ตรงนี้เป็นเรื่องของเทคนิค เป็นเรื่องของศาสตร์การถ่ายรูปไป ซึ่งต้องเพิ่มเข้าไปนอกเหนือจากการดึงอารมณ์ของคนออกมา
ในมุมมองส่วนตัว มองว่าภาพถ่ายที่ดีต้องเป็นอย่างไร
อย่างแรกตัวเองต้องชอบก่อนเลยนะ สำคัญมาก ถ้าตัวเองไม่ชอบ แสดงว่ามันก็ยังไม่ใช่ ต้องรู้สึกชอบก่อน จริงๆ ก็มีสูตร ว่ามุมใกล้ กลาง ไกล แต่ละมุมภาพอยู่ที่เราจะสร้างมันออกมายังไง ภาพที่ดีคือต้องสื่ออะไรบางอย่างกับคนที่ดู ถ้าคนกำลังยิ้มก็บอกอยู่แล้วว่ามีความสุข ร้องไห้ก็คือมีความทุกข์ จริงๆ ภาพถ่ายคือการบันทึกเรื่องราว ณ ช่วงเวลานั้นๆ ทำหน้าที่แทนดวงตาแล้วเก็บความรู้สึกไว้ในภาพนั้น บางทีมันอาจจะเป็นรูปบ้านเราเฉยๆ ที่ไม่ได้สวยอะไร แต่วันหนึ่งถ้าได้กลับมาดู นี่คือบ้านเราเมื่อ 30 ปีที่แล้วนะ วันก่อนมานั่งเปิดฮาร์ดดิสก์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีรูปเก่าๆ ตอนสมัยเรียน มีรูปเพื่อนอยู่ประมาณ 5-6 รูป แล้วบางรูปเราตัดผมทรงแบบกอล์ฟไมค์ได้ยังไงวะ (หัวเราะ) รู้สึกว่า ทำไมตอนนั้นไม่ถ่ายรูปเก็บไว้เยอะๆ ทั้งๆ ที่รูปเหล่านั้นก็ไม่ได้มีอะไรเลย น่าจะเป็นเรื่องของความทรงจำมากกว่า รูปภาพที่ถ่ายไปแล้วมันดีทุกรูปแหละ รูปอะไรก็ควรเก็บไว้ทั้งหมดเลย เพราะมันอยู่ในชีวิตเรา นี่คือชีวิตจริงๆ ที่ผ่านมา
คิดว่าอุปกรณ์สำคัญไหมกับการได้ภาพที่ดี
ก่อนที่จะรู้สึกว่าอุปกรณ์สำคัญน้อยลง มันต้องสำคัญมากมาก่อน หมายถึงว่าต้องไปทดลอง ต้องลองใช้ว่าเลนส์ตัวไหนที่โอเค ทำให้เรารู้ว่าถนัดเลนส์ช่วงไหน เราชอบใช้แฟลชหรือไม่ชอบใช้แฟลช อุปกรณ์ต้องตอบโจทย์และซัพพอร์ตเรา เพราะฉะนั้นเราต้องเลือกอุปกรณ์ที่มีฟังก์ชั่นที่ดีก่อน อุปกรณ์จึงสำคัญมาก แต่ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับเราว่าฟุ่มเฟื่อยหรือเปล่า เพราะกล้องตัวหนึ่งก็ไม่ได้ถูกๆ เหมือนใช้สิ่งที่มีให้ดีที่สุดก่อน
ฟังก์ชั่นรถกับกล้องถ่ายรูป มีอะไรที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
กล้องทำหน้าที่แทนดวงตา รถก็ทำหน้าที่แทนขา ฟังก์ชั่น ต้องตอบโจทย์เรา และต้องเป็นสิ่งที่ซัพพอร์ตการทำงานของเราให้ดีขึ้น ไม่ใช่ทำมาเพื่อให้มาเป็นภาระเรา อย่างเช่นการเป็นช่างภาพ อุปกรณ์ของเราเยอะอยู่แล้ว ถ้ารถเปิดปิดประตูยากหรือใส่ของไม่พอ มันก็เป็นปัญหาแล้ว ขยับไปไหนก็อึดอัดมาก ถ้าเป็นรถที่คันใหญ่ขึ้น แบกของได้เยอะขึ้น น่าจะตอบโจทย์กว่า ถ้ารถคันเล็กก็คงลำบากในการขนของ
ส่วนตัวมีประสบการณ์การใช้รถในชีวิตประจำวันอย่างไร
ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตบนท้องถนนในกรุงเทพฯ ประจำทุกวันอยู่แล้ว แน่นอนว่าไปมาไหนค่อนข้างช้า เพราะว่าจราจรค่อนข้างติดขัด ผมว่าถ้ามีเพลงให้ฟัง มีลำโพงเพราะๆ เบาะที่นั่งสบาย ไม่แคบ รถที่คันใหญ่ขึ้นมานิดหนึ่ง ก็ทำให้คุณสูดอากาศได้มากขึ้น แม้ว่าวันนั้นจะฝนตกรถติดก็ตาม
รู้สึกว่า Toyota Avanza ตอบโจทย์ความเป็นช่างภาพอย่างไร
คือตรงชอบที่คันใหญ่และเป็นรถที่ประหยัดน้ำมัน เหมาะกับการที่ใช้ในกรุงเทพฯ สามารถที่จะไปไหนได้อย่างสบายๆ สามารถบรรจุของได้เยอะ เพราะรถที่จะตอบโจทย์อาชีพช่างภาพ คือรถที่มีพื้นที่ด้านหลังกว้างพอที่จะใส่อุปกรณ์ อย่างเช่น ขาไฟ ซึ่งหนักมาก ไม่เบาเลย แล้วไม่สามารถเอาเข้ารถธรรมดาๆ ได้ เพราะมันมีความยาวเกินกว่าท้ายรถปกติทั่วไป รวมถึงพร็อพต่างๆ ก็ขนได้ หรือแม้กระเป๋าเดินทางสองใบ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีกระเป๋าเดินทางสองใบพร้อมเก้าอี้อยู่ในหลังรถ ซึ่งรถธรรมดาทำไม่ได้แน่นอน แล้วอย่างบางทีเวลาออกไปทำงาน ไม่ใช่มีแค่คนเดียว ต้องมีผู้ช่วยช่างภาพ มีทีมงาน ช่างแต่งหน้าทำผมอีก นั่งแล้วสบาย ไม่เบียดเลย ตรงนี้ก็ตอบโจทย์อีกเช่นกัน