ลองจินตนาการดูเล่นๆ ว่าถ้าทุกวันนี้เราไม่มีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใดๆ เลย การใช้ชีวิตประจำวันของเราจะเป็นอย่างไร เชื่อว่าหลายคนคงจะจินตนาการกันไม่ออก ยังไงไม่ต้องถึงขั้นแบบย้อนกลับไปถึงขั้นยุคหิน แค่ไม่มีอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียว ก็พอจะเห็นภาพลางๆ ของความหายนะบางอย่างแล้วใช่ไหม
เมื่อคำว่า ‘เทคโนโลยีแห่งอนาคต’ ถูกหยิบเข้ามาใกล้ตัวเราในปัจจุบันในอัตราเร่งด่วนมากขึ้นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ การเสพความบันเทิง ไปจนถึงการเดินทางด้วยรถยนต์ ที่เทคโนโลยีเข้ามาปฏิวัติวงการยนตรกรรมรูปแบบเดิมๆ ไปจนหมด ทำให้เราเดินทางได้สะดวกสบายมากขึ้นกว่าเดิม จนทำให้บางครั้งเราลืมความลำบากบางอย่างในอดีตไปเสียหมด เพราะความคุ้นชินจนกลายเป็นเรื่องปกติของความสบายแล้วนั่นเอง
เมื่อความต้องการมากเข้า สินค้าและบริการทั้งหลายจึงต้องปรับตัวเพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เทคโนโลยีเป็นเหมือนดั่งเพื่อนแท้ที่คอยดูแลและอำนวยความสะดวกตลอดเวลา ให้เราได้ใช้ชีวิตที่ดีและง่ายขึ้นเรื่อยๆ ลองไปดูกันว่า ทุกวันนี้เทคโนโลยีทำให้เรามาไกลจากอดีตเพียงใด และสบายขึ้นมากแค่ไหน
ใช้ชีวิตจนร่างพังอย่างไร ก็กลับมามีสุขภาพดีได้
คำว่า ‘เพื่อสุขภาพ’ กลายเป็นคำที่มักจะถูกผูกเข้าไปกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่มีเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนกันอย่างแยกไม่ออก จะกล่าวว่าคนยุคใหม่มีสุขภาพดีก็คงจะพูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำนัก เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอาหาร มักจะเน้นในเรื่องของการแปรรูป การรักษาสภาพ และการเพิ่มปริมาณในแบบเร่งรัดด้วยสารเคมี เพื่อตอบสนองอัตราการบริโภคที่มากขึ้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้บริโภคอย่างเราๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือแม้แต่เทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายภายในบ้านต่างๆ อย่างหุ่นยนต์ดูดฝุ่น สวิชต์ไฟที่สั่งเปิดปิดด้วยเสียง หรือเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมที่สามารถบังคับการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ในบ้านโดยที่ไม่ต้องเดินลุกไปไหน สิ่งเหล่านี้นี่เองที่ทำให้สุขภาพของคนยุคใหม่ถดถอยลงไปทุกที
แต่ในขณะเดียวกัน ก็เกิดความย้อนแยงกันเองของเทคโนโลยีที่ในการช่วยรักษาสุขภาพที่พัฒนาสวนทางกัน อย่างเช่นสมาร์ทวอชหรือ wearable device ทั้งหลายที่ติดตามการเคลื่อนไหวของเราตลอดเวลา ที่มาพร้อมแอปพลิเคชันที่กระตุ้นให้เราต้องขยับร่างกายเมื่ออยู่นิ่งๆ นานเกินไป ติดตามการนอนหลับของเราว่าเพียงพอไหม จับระยะทางการวิ่งพร้อมแชร์ในคอมมูนิตี้ของตนเองเพื่อให้เกิดแพชชั่นอยากจะวิ่งมากขึ้น ไปจนถึงการคำนวณแคลอรี่ของอาหารที่กินเข้าไปว่ามากเกินไปในแต่วันไหม ถึงขนาดที่ NHS ของประเทศอังกฤษมีการแจกนาฬิกาวัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบฟรีๆ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการเสียชีวิตของผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานและโรคหัวใจ แถมยังทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลเป็น big data ด้านสุขภาพที่สามารถนำไปใช้พัฒนาการรักษาสุขภาพอื่นๆ ในอนาคตต่อไปได้อีก เรียกได้ว่าถึงก่อนหน้านี้เราจะผลาญการใช้ชีวิตไปกับสิ่งที่ทำลายสุขภาพขนาดไหน แต่ก็ยังมีตัวช่วยที่กลับมาทำให้เรามีสุขภาพดีได้เช่นกัน
ความบันเทิงไร้ขีดจำกัด สนุกได้ทุกที่ทุกเวลา
นับตั้งแต่การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีเพื่ออย่างโทรทัศน์ ความบันเทิงของมนุษย์เราก็ถูกโอนย้ายไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยมกันมากขึ้น การเกิดขึ้นของม้วนวิดีโอเทปไปจนถึงแผ่นบลูเรย์ เรียกได้ว่าเป็นความบันเทิงสามัญประจำบ้านที่ไม่ต้องเสียเวลาออกเดินทางไปถึงโรงภาพยนตร์ หรือจะเป็นการฟังเพลงที่ค่อยๆ ย่อส่วนลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงขนาดใหญ่สำหรับฟังในบ้าน ไปจนถึงเครื่อง MP3 ขนาดจิ๋วแบบพกพาที่ทำให้เสียงเพลงบรรเลงได้ในทุกกิจกรรมของชีวิต เปลี่ยนโลกของความบันเทิงของเราชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
แต่สุดท้ายเทคโนโลยีก็ทำให้ความเป็น physical จับต้องได้เล็กลงเรื่อยๆ จนสามารถพกไปไหนก็ได้ในทุกที่ทุกเวลา ไปจนถึงไม่สามารถจับต้องได้อีกเลย ด้วยเทคโนโลยี streaming ที่สร้าง server ขึ้นมาเพื่อรองรับไฟล์มัลติมีเดียทั้งหลายให้เข้าถึงได้อย่างไม่จำกัด เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์สำหรับการชมเท่านั้น เพียงแค่วิดีโอในเว็บไซต์ YouTube ในแต่ละเดือนมียอดชมสูงถึง 3.25 พันล้านชั่วโมงทั่วโลก ยังไม่รวมถึงพวก pay TV ที่ต้องเสียเงินในการชมอย่าง Netflix บริการดูหนังผ่าน streaming ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มียอดผู้เข้าชมรายวันถึงวันละ 140 ล้านชั่วโมงจากทุกอุปกรณ์การชม แม้จะเป็นการ disrupt ด้านเทคโนโลยีที่ทำให้วงการธุรกิจบันเทิงต้องลำบากไปช่วงหนึ่ง แต่สำหรับผู้บริโภคอย่างเราๆ แล้วปฏิเสธไม่ได้ว่าการเสพความบันเทิงผ่าน streaming นี้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นขนาดไหน
การเดินทางง่ายขึ้น เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาปฏิวัติยนตรกรรม
ยังไม่ต้องมองไกลไปถึงขั้นรถไร้คนขับที่ยังดูเหมือนยังต้องใช้เวลาพัฒนาอีกสักพัก เพียงแค่การขับรถบนท้องถนนทุกวันนี้ก็เรียกได้ว่า มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้เราสามารถเดินทางไปไหนมาไหนง่ายดายและสะดวกขึ้นมากกว่าแต่ก่อนแล้ว ลองมองข้ามอุปสรรคที่ควบคุมไม่ได้อย่างรถติดในเมืองไปก่อน การเดินทางในยุคนี้เรียกได้ว่าหมดยุคของการกางแผนที่เพื่อศึกษาเส้นทางอีกต่อไป การเกิดขึ้นของ google map และเทคโนโลยี navigator ได้เปลี่ยนพฤติกรรมระหว่างขับรถของเราให้ง่ายขึ้น ไม่มีหลงทางอีกต่อไป แถมยังมีการคำนวนเส้นทางและระยะเวลาในการเดินทางได้อย่างแม่นยำอีกด้วย จนกลายเป็น device พื้นฐานที่คนขับรถทุกคนต้องพึ่งพาเป็นอย่างยิ่ง
แต่เทคโนโลยีที่ว่า ยังต้องพึ่งพาการทำงานผ่านสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เสริมต่างๆ อยู่ดี จะให้มานั่งสไลด์สมาร์ทโฟนระหว่างที่กำลังขับรถก็อาจจะไม่สะดวกนักแถมยังอันตรายอีกด้วย แบรนด์ผู้นำในตลาดอย่าง TOYOTA ก็ไม่หยุดที่จะพัฒนาเทคโนโลยีรูปแบบใหม่เข้ามาผสานกับรถยนตร์เพื่อทำให้การใช้ชีวิตมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Operator Service Function บริการหาสถานที่และร้านอาหาร พร้อมแชร์เส้นทางมาที่รถได้เลย ซึ่ง C-HR ไม่ได้มีดีเพียงแค่ระบบนำทางเท่านั้น แต่ยังมีระบบ Parking Alert การแจ้งเตือนเมื่อรถสตาร์ทหรือเคลื่อนที่และ ระบบ Find My Car สำหรับเช็คตำแหน่งรถที่จอดไว้ รวมไปถึงเช็คตำแหน่งเมื่อรถถูกโจรกรรมที่จะทำให้การใช้ชีวิตของคุณสะดวกสบายและไร้ความกังวัลอีกด้วย
ส่วนปัญหาเรื่องการหมดไปของพลังงานอย่างน้ำมัน ก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่มาช่วยพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ อาจยังต้องอาศัยเวลาและการปรับตัวของผู้ให้บริการอีกสักพัก เพราะเพียงแค่เทคโนโลยี Hybrid ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อลดการใช้พลังงานของน้ำมันด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้ามาช่วยเสริมก็เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์การแก้ปัญหานี้ได้อย่างเหมาะสมในตอนนี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาเทคโนโลยี Hybrid เจเนอเรชั่นใหม่ใน Toyota C-HR ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าตั้งแต่รถออกตัว และขณะที่รถเคลื่อนตัวปกติมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์จะผสานการทำงานร่วมกันอัตโนมัติ อีกทั้งยังแปลงพลังงานส่วนเกินจากการเคลื่อนที่ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าสะสมในแบตเตอรี่ Hybrid เพื่อเก็บไว้ใช้ได้อีก ประหยัดทั้งน้ำมันสูงถึง 24.4 กิโลเมตรต่อลิตรและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมไปในคราวเดียวกัน
จากเทคโนโลยีที่ทำให้การเดินทางง่ายขึ้นของนี้เอง Toyota C-HR จึงกลายเป็นรถที่มียอดจำหน่ายสูงถึง 283,000 คันในกว่า 51 ประเทศทั่วโลก สำหรับในบ้านเราเองก็มียอดจองสูงเป็นประวัติการณ์กว่า 3,000 คัน ในโอกาสนี้ Toyota จึงได้จัดงาน “The Irresistible Night” ในวันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา ณ จีเอ็มเอ็ม ไลฟ์เฮาส์ เซ็นทรัลเวิลด์ แทนคำขอบคุณลูกค้า Toyota C-HR กลุ่มแรกของเมืองไทย พร้อมทั้งส่งมอบรถให้ลูกค้า 150 คันแรกให้ได้สัมผัสก่อนใคร พร้อมทั้งการจัดแสดงรถทั้ง 6 สี 4 รุ่นย่อยต่อหน้าสื่อมวลชน และเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้ลิ้มรสเมนูอาหารรสเลิศจากเชฟอาหารระดับมิชลินสตาร์อย่าง ธนินธร จันทรวรรณ ที่สร้างสรรค์เมนูจากสีรถทั้ง 6 สีของ Toyota C-HR เพื่อมอบประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาสให้กับลูกค้าทุกคน
สัมผัส Toyota C-HR ยนตรกรรมที่สร้างสรรค์จากเทคโนโลยีเพื่อมอบความมั่นใจในการขับขี่อย่างไร้ขีดจำกัด ได้ที่โชว์รูม Toyata ทั่วประเทศ หรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติมและกิจกรรมสุดพิเศษได้ทาง www.toyota.co.th/c-hr และ www.facebook.com/toyotamotor.th
อ้างอิง
https://fortunelords.com/youtube-statistics/
https://tech.co/6-main-ways-technology-impacts-daily-life-2017-02