“กระจกวิเศษเอ๋ย บอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี?”
“ก็ท่านน่ะซี! แต่จะให้ดีลดความอ้วนอีกหน่อย ตัดปีกจมูกอีกนิด เสริมนมคัพดี แล้วไปยืดผมให้ตรง จะเลิศกว่านี้อีกล้านเท่า”
“…”
แม้แต่กระจกที่ว่าสะท้อนได้ทุกภาพความจริง ในบางครั้งเมื่อรวมเข้ากับลมปากของคน และความหวั่นไหวในจิตใจ เที่ยงตรงแค่ไหนก็มีสั่นคลอนผิดเพี้ยนได้ เคยไหม ทั้งๆ ที่มั่นใจว่าฉันก็สวยไม่เบา เพียงแค่ไม่ได้ขาว ผมยาว ตาโต หุ่นดี พิมพ์นิยมแบบใครเขา แต่ถูกสื่อสังคม และลมปากของคนกรอกหูเข้าทุกวัน ความมั่นใจที่มีก็พลันถดถอยลงไปเรื่อยๆ
ทว่าจริงหรือที่ความงามแท้จริงในโลกนี้นั้นมีเพียงแบบเดียว? แล้วความงามนั้นใครกันเป็นคนกำหนด? ก่อนจะฟันธงคำตอบใดๆ ลงไป ก่อนอื่นเราขอพาทุกคนไปย้อนดูค่านิยมความงามของผู้หญิงในแต่ละยุคที่ผ่านมาในอดีตกันก่อนดีกว่า ว่าจะเป็นอย่างที่ทุกคนคิดหรือเปล่า
ยุค Ancient Egypt (หลายพันปีก่อนคริสตกาล)
ย้อนกลับไปในสมัยที่ปิรามิด และสฟิงซ์เพิ่งเริ่มสร้าง ดินแดนแห่งทะเลทรายผืนนี้ยังคงถูกปกครองในรูปแบบของชนชั้นวรรณะต่างๆ ความงดงามของหญิงสาวแห่งอียิปต์โบราณได้ถูกบันทึก และปรากฏให้เห็นผ่านภาพวาดตามฝาผนังในสถานที่สำคัญต่างๆ ว่ากันว่าผู้หญิงในอุดมคติคนของยุคนั้น นอกจากจะต้องมีรูปร่างเพรียวบาง ไหล่แคบ ผมหยักศก สีผิวเปล่งประกายราวทองทาแล้ว ผู้หญิงคนนั้นยังจะต้องมีใบหน้าที่สมมาตรกันทั้งสองด้านอีกด้วย! ซึ่งตัวแทนที่เห็นได้ชัดในฐานะต้นแบบความงามอันไม่มีที่ิติของหญิงสาวยุคนั้นก็คือพระนางเนเฟอร์ติติ ราชินีของฟาโรห์อาเมนโฮเทป ที่ 4 ผู้มีใบหน้าสมมาตรกันจนได้รับสมญาว่า ‘Lady of Grace’ นั่นเอง
ยุค Ancient Greece (500 – 300 ปีก่อนคริสตกาล)
พูดถึงยุคกรีกโบราณหลายคนอาจมีภาพของรูปปั้นหนุ่มหล่อโชว์สัดส่วนซิกแพ็คงดงามเด้งขึ้นมาในใจเป็นอันดับแรก ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะรูปปั้นเหล่านี้คือสิ่งที่คนในยุคอดีตกาลใช้สะท้อนภาพความงดงามอันสมบูรณ์แบบที่อยู่ในอุดมคติของคนหมู่มาก ซึ่งแปลได้ตรงตัวว่าความงามในยุคนั้นก็คือความงามในแบบฉบับของผู้ชายนั่นเอง แต่ก็ใช่ว่าในหมู่ผู้หญิงด้วยกันจะไม่มีต้นฉบับความงามเสียเมื่อไหร่ ผู้หญิงกรีกที่ว่ากันว่าสวย ต้องมีคุณสมบัติคือผิวขาวราวพอร์ซเลน รูปทรงอวบอัดเต็มไม้เต็มมือ และที่สำคัญคือต้องมีผมสีอ่อน ยาว ดัดเป็นลอนสวยราวผ่านซาลอนทุกวัน (มีแต่ชนชั้นสูง หรือผู้หญิงทั่วไปเท่านั้นที่จะไว้ผมยาวได้ เพราะผมสั้นเป็นสัญลักษณ์ของแรงงานทาสนั่นเอง) ทำให้ผู้หญิงหลายคนที่ไม่ได้มีความงามตามพิมพ์นิยม มักจะสรรหาวิธีการแปลงโฉมตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการทาสีบนใบหน้าให้ขาว หรือกัดผมด้วยน้ำส้มสายชูให้สีผมอ่อนลง
ยุค Italian Renaissance (ค.ศ. 1400 – 1700)
อาจเพราะยุคนี้เป็นยุคที่ภาพลักษณ์ของผู้หญิงไม่เพียงแต่สะท้อนความงามของตัวเอง แต่ยังทำหน้าที่เป็นหน้าเป็นตาให้กับสถานะทางสังคมของสามีด้วย ความงามของผู้หญิงในอุดมคติของคนยุคนี้จึงมาในรูปแบบคนที่กินดีอยู่ดี อกอวบเบิ้ม เอวกลม สะโพกผายใหญ่ แขนขามีน้ำมีนวลเต็มไม้เต็มมือ ดูเจ้าเนื้อหน่อยๆ ทั้งยังต้องมีผิวขาวซีด คิ้วเรียว ตาโต ผมบลอนด์เป็นลอนสวยงาม เรียกว่าแทบจะเป็นภาพที่ตรงข้ามกับยุคปัจจุบันเกือบทั้งหมดเลยทีเดียว
ยุค Roaring Twenties (1920s)
สำหรับยุคที่เราจักกันดีในอีกชื่อว่า ‘Jazz Aged’ หรือ ‘Golden Age Twenties’ ในยุโรปนั้น แฟชั่นความงามได้ถูกนิยามใหม่อีกครั้ง ส่วนโค้งเว้าของผู้หญิงกลายเป็นเรื่องที่ไม่สมัยนิยมอีกต่อไป ผู้หญิงที่รูปร่างคล้ายคลึงกับเด็กผู้ชาย คืออกแบน ทรวดทรงตรง กลับเป็นที่นิยมมากกว่า ถึงขนาดที่ว่าใครพ่อแม่ให้มาเยอะก็ต้องตามหาบรามารัดให้แบนกันเลยทีเดียว และอีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอย่างยิ่งยวดซึ่งสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนก็คือ รสนิยมในการไว้ผมบ็อบสั้น ดัดเป็นลอนคลื่นขนาดต่างๆ จนกลายเป็นลักษณะเด่นของแฟชั่นที่ดีไซเนอร์หลายคนในยุคนี้ได้แรงบันดาลใจนำกลับมาครีเอทลุคบนรันเวย์มากที่สุดลุคหนึ่งเลย
ยุค Golden Age Of Hollywood (1930s – 1950s)
ข้ามมายังยุคที่ผู้คนมี มาริลีน มอนโร เป็นไอคอนแห่งความงามก็คงพอจะเดากันได้แล้วว่า ผู้หญิงที่จะได้รับการยกย่องว่ามีความงามเป็นเลิศ นอกจากมีหน้าตาที่สะสวยแล้ว หุ่นยังต้องโค้งเว้าสะท้านใจชายเป็นนาฬิกาทรายอย่างแน่นอน ขณะที่ผมก็นิยมผมบลอนด์ดัดเป็นลอนหลวมๆ แล้วปล่อยให้สยายเคลียไหล่เป็นอันใช้ได้ และด้วยความที่เป็นยุคทองของวงการภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่รูปลักษณ์ของนักแสดงดังๆ จะทรงอิทธิพลต่อกระแสด้านแฟชั่น และความงามของคนยุคนั้น ทรงอิทธิพลขนาดไหน ลองเอาชื่อ ‘Jean Harlow’ และ ‘Rita Hayworth’ ไปเซิร์จดูก็ได้!
ยุค Swinging Sixties (1960s)
หนึ่งในยุคที่หลายพื้นที่ในโลกถูกขับเคลื่อนด้วยศิลปะ ดนตรี และแฟชั่น ยุคที่แจ้งเกิดวงอภิมหาตำนานหลายวงของโลก ผู้หญิงในยุคนี้ไม่เพียงแต่จะกล้าแต่งตัวแปลกแหวกแนวมากขึ้น ทั้งบูทยาว กระโปรงมินิสเกิร์ท ไปจนถึงเสื้อหนัง รสนิยมด้านความงามทางรูปลักษณ์ยังพลิกไปจากยุคก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง จากหุ่นนาฬิกาทราย ก็กลายเป็นกิ่งก้านต้นไม้สุดแสนจะผอมเพรียว เรียกว่ายิ่งผอม ยิ่งเก้งก้าง ยิ่งดูทันสมัย และด้วยความที่ผู้คนเริ่มมีอิสระในการคิด การแสดงออกมาขึ้น ในยุคนี้เราจึงสามารถเห็นทรงผมที่หลากหลายมากกว่าสมัยก่อนๆ ทั้งผมตรง ผมดัด หน้าม้า ลอนหลวม ไปจนถึงทรงเดียวกับวงดนตรีแห่งยุคอย่าง The Beatles ด้วย
ยุค Heroin Chic (1990s)
มาจนถึงยุคที่ใครหลายคนน่าจะเกิดก่อน เอ้ย เกิดทันกันบ้าง ในยุคนี้โลกได้ก้าวเข้าสู่ความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี และสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วนี้ได้นำพารสนิยมทางด้านแฟชั่น และความงามใหม่ๆ ให้แพร่กระจายออกไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงที่คนในยุคนี้ยกย่องกันว่าสวย คือผู้หญิงที่มีรูปร่างผอมจนเห็นกระดูกไหปลาร้า มีรอยดำใต้ตาเล็กน้อย ผมยาว และดูมีความเป็นทั้งผู้หญิง-ผู้ชายในคนเดียวกัน (ถ้าใครยังนึกภาพไม่ออก ลองเซิร์จภาพของ เคท มอส ดูแล้วจะเข้าใจ)
ยุค Postmodern Beauty (2000s – ปัจจุบัน)
สำหรับความงามในแบบสากลแล้วผู้หญิงสองพันปี เอ้ย ปีสองพันนี้ ต้องมีคุณสมบัติคือ อกใหญ่ เอวคอด มีก้น ดูผอมอย่างสุขภาพดี และถ้าให้ดีต้องมีผิวแทนที่แสดงถึงความมีอันจะกินด้วย ซึ่งแตกต่างกันเล็กน้อยกับทางฝั่งเอเชียที่ดูจะชื่นชอบการมีผิวขาว ผมดำ ตาโต หุ่นผอมบางมากกว่า (แน่นอนว่ายังคงต่างจากในอีกหลายๆ พื้นที่ ที่มีค่านิยมความงามพื้นถิ่นแตกต่างกันไป)
ซึ่งเมื่อมองผ่านประวัติศาสตร์วิวัฒนาการนิยามของความงามข้างต้นแล้ว ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เราไม่อาจนิยามคำว่า ‘ความงามที่แท้จริง’ ได้อย่างชัดเจนเลย ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป พื้นที่ที่แตกต่าง รวมถึงมุมมองของแต่ละบุคคล ล้วนทำให้รสนิยมทางด้านความงามเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงไม่ควรยึดติดกับค่านิยมด้านความงามที่สื่อสังคม หรือคนอื่นพยายามสร้างขึ้น แต่ควรที่จะมั่นใจในความงามตามแบบฉบับที่ตัวเองเลือกมากกว่า
เหมือนเช่นที่ เมญ่า นักร้อง-นักแสดงสาวคนดังผู้ที่แม้ไม่ได้มีความงามตามแบบพิมพ์นิยม แต่มีดีกรีเป็นถึง มิสไทยแลนด์เวิลด์ ได้ออกมาจับมือกับ Dove แสดงพลังกระตุ้นให้ผู้หญิงยุคใหม่รู้สึกมั่นใจในความสวยในแบบของตัวเอง ผ่านไอเดียการเปลี่ยนลุคจากผมสีดำตามความเคยชินของคนทั่วไป ให้กลายเป็นสีเขียว เพื่อส่งต่อความเชื่อที่ทั้งคู่มีเหมือนกันผ่านมุมมองของความสวย ที่ไม่ว่าคุณจะมีรูปลักษณ์ หรือความชอบแบบไหน จะผมสั้นติ่งหู ย้อมสีสะท้อนแสง ถักเดรดล็อค หรือไว้ทรงแอฟโฟร แต่ถ้าคุณชอบ คุณมองว่านี่แหละคือความสวย คุณมั่นใจ เชื่อมั่น และกล้าที่จะแตกต่างในแบบของตัวเองเสียอย่าง ไม่ว่าไว้ผมทรงไหน หรือสีผมเป็นสีใด ความงามนั้นก็ย่อมเป็นความงามที่แท้จริง และไม่มีใครที่จะมากำหนดความสวยของคุณได้ เพราะสุดท้ายแล้วคุณต่างหากที่เป็นคนกำหนดเอง
…กระจกวิเศษเอ๋ย ฉันนี่แหละมนุษย์ผู้งดงามที่สุดในปฐพี!