ในยุคสมัยที่การทำงานวัดผลด้วย productivity หรือผลิตผลของการทำงานมากเป็นพิเศษ จึงไม่แปลกที่ไลฟ์สไตล์แบบ Digital Nomads หรืออาชีพฟรีแลนซ์เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะหลังมานี้
มีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2020 โดยเฉพาะในอเมริกาเอง มีคนทำงานแบบ self-employment หรือไม่ได้ทำงานประจำสูงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ เหตุผลที่ทำให้ไลฟ์สไตล์แบบนี้เป็นที่นิยมในหมู่ชาวเจนวาย นอกจากเรื่องรายได้ที่อาจจะได้มากกว่า (หากขยันกว่า) แล้ว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการเลือกที่นั่งทำงานที่ไหนก็ได้ตามใจ ไม่ต้องกังวลกับการตื่นเช้าเพื่อเข้าไปนั่งปั่นงานในบรรยากาศแสนน่าเบื่ออย่างออฟฟิศนั่นเอง
แต่การได้มาซึ่งผลงานที่ดี ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘สิ่งแวดล้อม’ รอบข้างมีผลอย่างยิ่งต่อการทำงาน นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ Co-Working Space เกิดขึ้นมากมายแทบทุกมุมเมือง หรือแม้กระทั่งร้านอาหารหรือร้านกาแฟบางแห่งก็มีการปรับปรุงร้านให้มีบรรยากาศเหมาะแก่การปั่นงานเช่นเดียวกัน จากผลสำรวจของ deskmag พบว่าเมื่อปี 2017 มี Co-Working Space เปิดใหม่ทั่วโลกกว่า 13,800 แห่ง และมีสมาชิกกว่า 1,180,000 คนที่มาใช้บริการ ภาพของคนทำงานที่มีโน้ตบุ๊กคนละเครื่อง นั่งอยู่ใน Co-Working Space หรือร้านกาแฟ จึงกลายเป็นภาพจำที่พบเห็นได้บ่อยจนชินตา
น่าสนใจว่า การทำงานในสถานที่ที่แปลกไปอย่าง Co-Working Space ได้กลายเป็นเทรนด์ใหม่ของคนทำงานในช่วงนี้ ลองไปดูกันว่า บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมภายใน Co-Working Space ที่ดีจะส่งผลต่อการทำงานของเราให้ดีขึ้นได้อย่างไร
เสียง: ถึงไม่ตั้งใจฟัง ก็สร้างสมาธิได้
สิ่งที่คนทำงานหลายคนน่าจะรับรู้และเข้าใจมาแต่ไหนแต่ไร คือความเงียบเท่ากับสมาธิ นั่นหมายความว่าสถานที่ทำงานต้องเงียบ ถึงจะมีสมาธิทำงาน แต่เอาเข้าจริงๆ การทำงานในออฟฟิศส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องความเงียบเพื่อให้ได้งานแต่อย่างใด มีงานวิจัยพบว่าออฟฟิศเป็นสถานที่ที่ทำให้เราเสียสมาธิได้ง่ายที่สุด เนื่องจากมีตัวแปรต่างๆ ที่กระตุ้นทำให้สมองของเราต้องตั้งรับเพื่อตอบโต้กลับอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเสียงคุยจากเพื่อนร่วมงาน หรือเสียงของหัวหน้าที่ไม่รู้จะเรียกใช้งานเราเมื่อไร ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้เราเสียสมาธิได้ง่ายๆ และนำมาซึ่งประสิทธิภาพในการทำงานที่อาจจะแย่ลงก็เป็นได้ หลายคนจึงมักตัดปัญหานี้ด้วยการใส่หูฟังเพลงเสียเลย แต่ก็น่าจะช่วยได้ประมาณหนึ่งเท่านั้น
ในขณะที่เสียงภายในร้านกาแฟหรือ Co-Working Space ซึ่งบางทีอาจจะมีเสียงที่ดังกว่าในออฟฟิศด้วยซ้ำ น่าแปลกที่ว่าแม้จะเป็นเสียงที่ไม่ได้เงียบสนิท แต่กลับทำให้เรามีสมาธิในการทำงานได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเสียงเหล่านั้นเป็นเสียงลักษณะแบบ white noise หรือเสียงหึ่งๆ ของบรรยากาศ อาจเป็นเสียงเพลงคลอเบาๆ ที่เปิดอยู่ เสียงคนพูดคุยกันจากโต๊ะข้างๆ เสียงรถที่วิ่งผ่านไปมา หรือกระทั่งเสียงของเครื่องทำกาแฟ ซึ่งเป็นเสียงที่เราไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่กลับทำให้สมองของเราหยุดการตั้งรับเพื่อตอบโต้ต่อสิ่งเร้าได้ และเนื่องจากเป็นที่สาธารณะ ไม่มีคนรู้จักมารบกวนแน่ๆ สมาธิจึงเกิดขึ้นแบบอัตโนมัติ โดยไม่ต้องพึ่งหูฟังเปิดเพลงอัดเพื่อสร้างสมาธิเลย อีกทั้งมีผลทดลองยืนยันว่าช่วงเสียงบรรยากาศระหว่าง 50 ถึง 70 เดซิเบลจะช่วยให้ความคิดสร้างสรรค์ทำงานได้ดีขึ้น
กลิ่น: แค่หอมมา งานก็เดิน
สำหรับสายคนที่ทำงานหนักเป็นกิจวัตร การบูสต์ร่างกายตัวเองให้ตื่นด้วยคาเฟอีนจากกาแฟเป็นเหมือนไอเทมสำคัญที่ถ้าขาดไปเมื่อไร การทำงานอาจจะไม่ราบรื่นก็เป็นได้ มีหลายงานวิจัยที่ชี้ชัดว่าการดื่มกาแฟมีประโยชน์มากมาย นอกจากจะช่วยให้สมองตื่นตัวแล้ว สถาบันสุขภาพแห่งชาติของอเมริกายังยืนยันจากการวิจัยว่าการดื่มกาแฟ 3 แก้วต่อวัน จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตได้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่มเลย เรียกได้ว่ากาแฟกับการทำงานเป็นของคู่กัน จะขาดไปไม่ได้เลยทีเดียว ไม่แปลกที่จะเห็นคนชอบทำงานอยู่ในร้านกาแฟกันเป็นส่วนมาก เพราะด้วยความสะดวกในการสั่งกาแฟสักแก้วนั่นเอง
สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดถึงความแตกต่างมากที่สุดระหว่างการทำงานในออฟฟิศหรือที่บ้าน เมื่อเทียบร้านกาแฟหรือ Co-Working Space ที่มีกาแฟบริการ นั่นคือกลิ่นหอมๆ ของกาแฟที่อบอวลอยู่รอบๆ มีผลวิจัยจาก Seoul National University ที่ยืนยันว่าในกลิ่นหอมของกาแฟมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ ซึ่งอีกเหตุผลที่แม้จะยังไม่มีผลวิจัยอะไรยืนยัน แต่เชื่อว่าคนที่ชอบทำงานในบรรยากาศแบบนี้เป็นเหมือนกัน คือเมื่อได้กลิ่นกาแฟสดเมื่อไร จะเกิดอาการตื่นตัวอยากจะลุยงานต่อทันที แม้จะไม่ทันได้จิบกาแฟเลยด้วยซ้ำ
คน: เห็นเขาขยัน ก็อยากขยันบ้าง
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนทำงานหลายคนรู้สึกไม่แฮปปี้กับการทำงานก็คือ คนหรือเพื่อนร่วมงานของเรานี่เอง ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานประเภทก่อกวนด้วยเสียงก็ยังพอหาวิธีแก้ไขได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องทัศนคติในการทำงานร่วมกันแล้วก็อาจหาวิธีเอาตัวรอดได้ยากสักหน่อย มีผลสำรวจจาก Tel Aviv University ประเทศอิสราเอล ที่ติดตามพนักงานกว่า 820 คนในระยะเวลาถึง 20 ปี พบว่าเพื่อนร่วมงานนี่แหละคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้สุขภาพของพนักงานแย่ลง โดยเฉพาะปัญหาสุขภาพจิต ในขณะที่วารสาร Journal of Organizational Behavior ได้รายงานผลวิจัยว่า พนักงานที่มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานบ่อยๆ จะส่งผลต่ออารมณ์ที่อาจไปกระทบต่อปฏิสัมพันธ์ในครอบครัวเวลากลับไปที่บ้าน แสดงให้เห็นว่าเรื่องคนกับการทำงานมีเอฟเฟกต์ต่อกันมากจริงๆ
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ชาวเจนวาย เลือกเดินออกไปสู่วิถีฟรีแลนซ์แล้วไปทำงานใน Co-Working Space เพื่อหลีกหนีปัญหาดังกล่าว และด้วยบรรยากาศที่ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตนเอง จะส่งผลในแง่จิตวิทยาและสร้างแรงผลักดันให้เราอยากจะโฟกัสที่งานของตนเองเช่นกัน ไม่ต่างอะไรกับการไปยิมแล้วเห็นคนหุ่นเฟิร์มๆ แล้วทำให้เราอยากจะเฟิร์มเป๊ะแบบนั้นบ้าง นอกจากนั้นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่ Co-Working Space หลายแห่งมี คือการรวมตัวของคนที่สนใจในสิ่งเดียวกัน จนเกิดเป็นคอมมูนิตี้ย่อมๆ ซึ่งคนทำงานสายสตาร์ทอัพคงจะทราบกันดี เพราะคนทำงานเก่งๆ ที่ชักชวนกันมาเป็นฟาวเดอร์ส่วนใหญ่ก็พบเจอได้จากสถานที่แห่งนี้นี่เอง
ใกล้: อยู่แค่เอื้อม เลิกเหนื่อยจากการเดินทาง
จะเห็นได้ว่าเพียงแค่ลองเปลี่ยนบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมของสถานที่ทำงานเป็น Co-Working Space ก็ส่งผลต่อการทำงานของเราอย่างคาดไม่ถึงแล้ว แต่ถึงจะดีอย่างไร ถ้ายังต้องเสียเวลากับการเดินทางเพื่อไปทำงานแล้วล่ะก็ ไม่น่าจะเวิร์กแน่ๆ ซึ่งปัญหาหนักอกอย่างหนึ่งที่คนเมืองอย่างเราๆ ประสบอยู่ คงหนีไม่พ้นเรื่องการเดินทาง ที่ว่ากันว่าเป็นอุปสรรคใหญ่ยิ่งกว่าปัญหาใดๆ มารวมกันอีกด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าช่วงเวลาที่ติดอยู่บนถนนในแต่ละวันสามารถเอาเวลาไปทำงานให้เสร็จได้หลายจ๊อบเลยทีเดียว แค่เดินทางอย่างเดียวก็เหนื่อยแล้ว จะเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาทำงานต่อ
จะดียิ่งกว่าถ้าบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมดีๆ ในการทำงานเหล่านี้อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม ด้วยการใช้ชีวิตอยู่ในคอนโดที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความยืดหยุ่นของสถานที่ทำงาน อย่าง THE LINE วงศ์สว่าง ที่มี Co-Working Space ออกแบบบรรยากาศให้เหมาะสำหรับการทำงาน ด้วยเพดานสูงกว่า 4.30 เมตร ให้ความรู้สึกโล่งโปร่งเปิดให้สมองได้ทำงานอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งมีมุมโต๊ะทำงานทั้งแบบส่วนตัวและ hot desk สำหรับการประชุม ซึ่ง facility อย่างหนึ่งที่ Co-Working Space ส่วนใหญ่อาจยังไม่มี นั่นคือพื้นที่พักผ่อนยามเหนื่อยล้าจากการทำงาน อย่าง Sky Lounge เพียงแค่ขึ้นมาชั้น rooftop คุณก็สามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศสวนและชมวิวจากมุมสูง พร้อม Sky Cinema ห้องชมภาพยนตร์ สำหรับเปลี่ยนอารมณ์ในการทำงานอีกด้วย เลือกทุกรายละเอียดให้ดีที่สุดเพื่อการทำงานที่ดีที่สุดกับ THE LINE วงศ์สว่าง
อ้างอิง
https://www.thebalance.com/coworking-space-for-entrepreneurs-4150279
https://www.officevibe.com/blog/11-incredible-coworking-statistics-infographic
https://www.officevibe.com/blog/how-coworkers-affect-job-satisfaction
https://www.monster.ca/career-advice/article/why-coffee-increases-productivity-ca