หลังจากที่ได้สัมผัสกับไอเดียรักษ์โลกของเยาวชนคนรุ่นใหม่ จากโครงการ Wonder Lab: Youth for a Greener Tomorrow Powered by UOB หนึ่งในโครงการด้านความยั่งยืนของ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ที่เปิดพื้นที่ให้เยาวชนออกแบบโปรเจกต์ด้านความยั่งยืนในชีวิตประจำวัน ที่ได้นำเสนอไอเดียเบื้องต้นไปเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
เวลาผ่านไปกว่า 1 เดือนเต็ม น้องๆ จากทั้ง 10 ทีมก็ได้ลงมือพัฒนาโปรเจกต์ ด้วยการลงมือปฏิบัติ พร้อมทำงานร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย โดยมีเหล่า mentor ให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดตลอดการดำเนินงาน จนกระทั่งออกมาเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริงเรียบร้อยแล้ว
ลองไปสำรวจผลกระทบเชิงบวก จากโปรเจกต์ไอเดียรักษ์โลกของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนให้กับโลกอย่างแท้จริง

หากย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มต้นรับสมัครโครงการ หนึ่งในตัวชี้วัดผลสำเร็จของโครงการนำเสนอเข้ามา คือการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมายทั้งออนไลน์และออนไซต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ถึงผลสำเร็จของโครงการที่นำเสนอ โดยจากผลงานของน้องๆ ทั้ง 10 ทีม ประกอบไปด้วยโปรเจกต์สุดสร้างสรรค์ไม่ว่าจะเป็น โครงการจัดการ food waste ภายในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย, เครื่องฟอกอากาศจากวัสดุอิเล็กทรอนิกส์, ทรายแมวจากผลผลิตทางการเกษตร, ผ้าทอจากวัสดุรีไซเคิล, การ upcycling ใยพลาสติกกับเศษผ้าทอให้เป็นกระเป๋าใส่ของ และบอร์ดเกมให้ความรู้เรื่องไมโครพลาสติก ได้สร้าง impact ออกมาเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจดังต่อไปนี้ มีการเข้าถึงในรูปแบบออนไลน์ ผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ จากกิจกรรมในโปรเจกต์ทั้งหมดกว่า 117,188 ครั้ง มีจำนวนการเข้าร่วมกิจกรรมออนไซต์ทั้งหมดกว่า 1,662 คน เรียกว่าเป็นตัวเลขที่สูงอย่างมากทีเดียว นอกจากตัวเลขที่ยืนยันถึงความสำเร็จแล้ว คือการสร้างความเปลี่ยนแปลง ผ่านการลงมือทำจริง ทั้งการแยกขยะ การลดใช้วัสดุสิ้นเปลือง การ upcycling เพิ่มมูลค่าให้วัสดุเหลือใช้ และที่สำคัญคือการสร้างแนวคิดในการรักษาสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนเรื่องไกลตัวให้กลายเป็นสิ่งใกล้ตัว ให้กับผู้คนทั้งในชุมชน โรงเรียน และมหาวิทยาลัย ลองไปทำความรู้จักและสำรวจเบื้องหลังการทำงานของ 2 ทีม 2 โปรเจกต์ที่เปลี่ยนโลกได้สำเร็จ

จากปัญหาขยะเกลื่อนโรงเรียน สู่เครื่องบันทึกการแยกขยะอัจฉริยะ
เปลี่ยน Mindset การทิ้งขยะของนักเรียนให้กลายเป็นเรื่องสนุก
ทีม 6p โรงเรียนปลาปากวิทยา จังหวัดนครพนม
โครงการแยกแล้วรุ่ง มุ่งอันดับ 1

“จุดเริ่มต้นมาจากการที่โรงเรียนของเรามีขยะเกลื่อนกลาด แล้วโครงการธนาคารขยะที่มีอยู่ก็ไม่ค่อยได้รับความสนใจ เราเลยคิดว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น” ตัวแทนจากทีม 6p จากโรงเรียนปลาปากวิทยา จังหวัดนครพนม เล่าถึงจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์สิ่งแวดล้อม “เด็กหลายคนไม่ค่อยทิ้งขยะลงถัง เพราะคิดว่าเดี๋ยวภารโรงก็มากวาดอยู่แล้ว” หนึ่งในสมาชิกอธิบายปัญหาเชิงพฤติกรรม จากจุดตั้งต้นนี้ทำให้เกิด ‘เครื่องบันทึกการแยกขยะอัจฉริยะ’ อุปกรณ์สุดล้ำที่มีช่องสำหรับทิ้งขวดพลาสติก โดยมีเซ็นเซอร์ตรวจจับจำนวนขวดที่ผูกกับระบบคะแนนพฤติกรรมของโรงเรียน ใครทิ้งขวดลงเครื่องก็จะได้คะแนนบวกสะสม และเก็บข้อมูลลงฐานระบบออนไลน์ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของนักเรียนให้เห็นว่าการทิ้งขยะถูกที่ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว กลายเป็นแรงจูงใจให้เพื่อนๆ อยากเข้ามามีส่วนร่วม

แม้จะเป็นเครื่องต้นแบบ ที่มีราคาต้นทุนเพียงแค่ 1,200 บาท แต่ผลลัพธ์ที่ได้เกินคาด “วันแรกที่เอาไปติดตั้ง เด็กๆ ในโรงเรียนหอบขวดมาทิ้งเกือบร้อยขวด ยังไม่ทันถึงพักเที่ยงเลย” สมาชิกทีมเล่าพร้อมหัวเราะ ผลลัพธ์คือในหนึ่งสัปดาห์ ขยะพลาสติกที่ถูกแยกได้มากถึง 15 กิโลกรัม และสัปดาห์ต่อมาสะสมสูงถึง 110 กิโลกรัมเลยทีเดียว

จากความสำเร็จของโครงการ ทำให้น้องๆ เริ่มคิดถึงการต่อยอดและพัฒนาเป้าหมายให้ไกลกว่าเดิม “เราอยากให้เครื่องนี้ไปอยู่ทุกอาคารในโรงเรียน นักเรียนจะได้ไม่ต้องเดินไกล” ตัวแทนเล่าถึงแผนระยะสั้น แต่ระยะยาวกว่านั้นคือการพัฒนาเครื่องที่สามารถแยกขยะได้หลายประเภท ไม่ใช่แค่ขวดพลาสติก แต่รวมถึงถุงพลาสติก กระป๋อง หรือแม้แต่บรรจุภัณฑ์อื่นๆ “ถ้าอนาคตเครื่องนี้ไปอยู่ตามโรงเรียนต่างๆ ทุกโรงเรียนได้ มันก็น่าภาคภูมิใจมากๆ”

ก่อนเข้าร่วมโครงการ น้องๆ ในทีมยอมรับว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่เมื่อได้มาสมัครเข้าร่วมโครงการและได้ลงมือพัฒนาโปรเจกต์ขึ้นมาจนสำเร็จ รวมถึงสิ่งที่ mentor ได้ให้คำแนะนำ ทำให้เมื่อหันกลับมามองโรงเรียนของตัวเอง พบว่าปัญหาขยะในโรงเรียนคือสิ่งที่ทุกคนเห็นและเผชิญอยู่ทุกวัน ถ้าไม่ลงมือแก้ไขตอนนี้ก็อาจจะสายเกินไป “คือเราก็รู้ว่ามี climate change ทะเลเดือด แต่ก่อนหน้านี้มันเหมือนเป็นเรื่องที่อยู่ไกล ไม่กระทบชีวิตประจำวัน แต่จริงๆ แค่ทิ้งขยะไม่ลงถัง มันก็เป็นปัญหาที่ควรแก้แล้ว”
หลังจากที่ได้ทำโครงการ น้องๆ ยอมรับว่า สิ่งที่ได้รับไม่ใช่แค่คำแนะนำดีๆ จาก mentor และคณะกรรมการเท่านั้น แต่คือประสบการณ์ และสายตาที่มีต่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่สำคัญคือพวกเขาเชื่อว่าการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่จำเป็นต้องเริ่มจากอะไรยิ่งใหญ่เสมอไป แค่เริ่มจากการทิ้งขยะลงถัง หรือแยกขวดรีไซเคิลเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถช่วยโลกได้แล้ว

ทรายแมว NFM: ของเหลือจากอุตสาหกรรมการเกษตร สู่ทางออกขยะสัตว์เลี้ยง
เปลี่ยนวัสดุเหลือทิ้งให้มีคุณค่า ลดปริมาณขยะได้แบบเห็นผล
ทีม Jungle Natural Team มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
โครงการ ZupparCat : การพัฒนาทรายแมวจากส่วนที่ไม่ใช่เส้นใยของใบสับปะรด เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

จากจุดเริ่มต้นของสมาชิกในทีมที่เรียนเกี่ยวกับด้านสาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมโดยตรง ทำให้ได้เห็นถึงปัญหาของวัสดุเหลือทิ้งที่ไม่สามารถนำไปทำประโยชน์ได้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการเกษตร จะมีวัสดุที่เรียกว่า ‘เส้นใยสับปะรด’ ที่ได้มาจากใบสับปะรด โดยนำไปผลิตเป็นผ้าทอหรือวัสดุสิ่งทอต่างๆ ได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในการใช้วัสดุเหลือใช้อย่างคุ้มค่าในขั้นต้น แต่ยังมีวัสดุที่เหลือจากกระบวนการผลิตเส้นใยที่เรียกว่า ส่วนที่ไม่ใช่เส้นใยจากใบสับปะรด หรือ NFM (Non Ferrous Material) มีลักษณะเป็นเศษผงที่มีคุณสมบัติพิเศษ

“เราได้โจทย์มาว่า จะทำยังไงให้วัสดุเหล่านี้เกิดประโยชน์มากที่สุด เราจึงไปศึกษาคุณสมบัติเส้นใยสับปะรด คือสามารถดูดซึมน้ำและดูดซับกลิ่นได้ดี เราจึงเกิดไอเดียในการนำส่วนที่ไม่ใช่เส้นใยจากใบสับปะรดมาทำเป็นทรายแมว” ตัวแทนจากทีม Jungle Natural Team เล่าถึงจุดตั้งต้นของไอเดียที่เรียบง่าย แต่สร้างสรรค์ โดยเปลี่ยนของเหลือจากกระบวนการผลิตเส้นใยสับปะรด ให้กลายเป็น ‘ทรายแมว’ ที่ย่อยสลายได้ 100%

จากการค้นพบว่า ส่วนที่ไม่ใช่เส้นใยจากใบสับปะรดเมีคุณสมบัติเด่นเรื่องดูดซึมน้ำและดูดซับกลิ่นได้ พวกเขาจึงลองขึ้นสูตรทรายแมวจากวัตถุดิบธรรมชาติล้วนๆ โดยนำมาผสมน้ำ แล้วอัดขึ้นรูปผ่านเครื่องอัดอาหารปลา ให้ออกมาเป็นเม็ดทรายแมว ก่อนจะนำมาทดสอบประสิทธิภาพการดูดซับและทดสอบการย่อยสลายทางชีวภาพ ผลลัพธ์เบื้องต้นน่าพอใจ คือสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติภายใน 56 วัน และสามารถทิ้งลงชักโครกได้อีกด้วย แม้ว่าจะยังมีข้อปรับปรุงคือเรื่องของการแตกตัวของตัวทราย รวมถึงความชื้นและความสม่ำเสมอของสีวัตถุดิบ เพราะท่ามกลางกระแสทรายแมวจากวัสดุธรรมชาติสารพัด ตั้งแต่ไม้สน ขี้เลื่อย ไปจนถึงเต้าหู้ ทรายแมวจาก NFM ถือว่ายังใหม่ในตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่สมาชิกในทีมต้องพยามพัฒนาปรับปรุงต่อไป “อุปสรรคของเราคือวัตถุดิบ ต้องรับมาจากอุตสาหกรรมแปรรูปเส้นใย แต่ในอนาคตถ้าเราจัดการทั้งหมดได้เอง ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ต้นทุนและคุณภาพจะนิ่งขึ้น” นี่คือหมุดหมายที่ทีมวางไว้

“ตอนแรกไม่คิดว่าจะมีใครสนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขนาดนี้ แต่พอมาได้ร่วมโครงการ ได้เห็นเพื่อนๆ เยาวชนตั้งใจทำโปรเจกต์ดีๆ เยอะมาก เราในฐานะที่เรียนสาขานี้โดยตรงก็ดีใจที่ทุกคนตื่นตัวในเรื่องนี้แล้ว อยากขอบคุณโครงการนี้ที่ให้เราได้แสดงศักยภาพของเราออกมาได้อย่างเต็มที่”
ตัวแทนของทีมกล่าวด้วยรอยยิ้ม ถึงการที่โครงการได้เปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้แสดงศักยภาพ พร้อมกับคำแนะนำดีๆ จากคณะกรรมการและ mentor เพื่อยืนยันถึงความพยายามที่แปรรูปออกมาเป็นผลลัพธ์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่จับต้องได้จริง
“มันทำให้เรามั่นใจว่า เรื่องสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่มันคือสิ่งที่ทุกคนทำได้ทุกวัน แค่เลือกทรายแมวให้ถูก ก็เปลี่ยนโลกของเราได้แล้ว”
จากผลงานของน้องๆ ในทุกๆ โปรเจกต์ภายใต้โครงการ Wonder Lab: Youth for a Greener Tomorrow Powered by UOB คือสิ่งที่ยืนยันถึงความสำเร็จและความตั้งใจของ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ที่เชื่อมั่นในศักยภาพของคนรุ่นใหม่ ซึ่งกำลังกลายเป็นกำลังสำคัญ ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงและความยั่งยืนให้กับโลกของเราต่อไป