หลังการเดินทางอย่างยาวนาน ตอนนี้ประเทศไทยมี #สมรสเท่าเทียม เป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศที่ 3 ในเอเชีย ที่รับรองการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกันให้ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว!!
วันนี้ (18 มิถุนายน 2567) ร่างกฎหมาย ‘สมรสเท่าเทียม’ หรือร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … เข้าสู่การพิจารณาในชั้นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในวาระ 2 และ 3 โดยมีผู้ลงมติทั้งหมด 152 คน และได้ผลพิจารณาว่า มีผู้เห็นด้วย 130 เสียง ไม่เห็นด้วย 4 เสียง และงดออกเสียง 18 เสียง
หลังผลโหวตปรากฏขึ้น เครือข่ายภาคประชาชนที่มารวมตัวกันที่รัฐสภาต่างส่งเสียงเฮ คู่รัก LGBTQ+ โผเข้ากอดกันพร้อมซับน้ำตา แสดงความยินดีกับสิทธิที่เฝ้ารอมานาน
ประเด็นที่พิจารณา มีดังนี้
- สมรสเท่าเทียม เปลี่ยนจากชายหมั้นหญิงเป็นคู่หมั้นและผู้รับหมั้น เปลี่ยนจากอายุ 17 ปีเป็น 18 ปี
- สมรสเท่าเทียม เปลี่ยนจากชายและหญิงเป็นบุคคล เปลี่ยนจากสามีภริยาเป็นคู่สมรส เพื่อให้สิทธิ หน้าที่ และสวัสดิการ เทียบเท่ากับชายหญิง และเปลี่ยนอายุการสมรสจากอายุ 17 ปี เป็น 18 ปี
- สมรสเท่าเทียม รวมการแก้ไขเหตุแห่งการฟ้องหย่าให้ครอบคลุมและคุ้มครองถึงทุกเพศ
- สมรสเท่าเทียม ในกรณีหญิงสมรสหญิงที่หย่าจากกันแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอ 310 วันเพื่อจดทะเบียนสมรสใหม่
- สมรสเท่าเทียมในมาตรา 67 กำหนดให้บรรดากฎหมายอื่นใดประกาศหรือมติคณะรัฐมนตรีอื่นใดที่มีคำว่าสามีภริยาหรือสามีหรือภริยาให้หมายถึงคู่สมรสที่จดทะเบียนตามการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในครั้งนี้
ก่อนเริ่มการประชุม เครือข่ายภาคประชาสังคมด้านสิทธิเพศหลากหลาย ได้รวมตัวกันที่หน้าโถงรัฐสภา ประกาศจุดยืน พร้อมตั้งความหวังว่าการพิจารณาร่างวันนี้จะผ่านไปด้วยดี โดยไฮไลท์คือการเข้าร่วมของตัวแทนประชาชนคู่รัก LGBTQ+ 6 คู่ รวมถึงคู่ ‘ปู่-ย่า’ คือคุณย่าปกชกร วงศ์สุภาร์ อายุ 67 ปี และคุณปู่กัญจน์ เกิดมีมูล อายุ 72 ปี ที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาแล้วกว่า 30 ปี
ในระหว่างการประชุม มี สว. ลุกขึ้นอภิปรายในหลากหลายประเด็นที่รู้สึกไม่เห็นด้วยหรือยังคงมีข้อกังวลอยู่ เช่น การใช้คำว่า ‘คู่สมรส’ ที่อาจทำให้เกิดความวุ่นวายในการแก้ไขกฎหมายในภายหลังหรือกระทบต่อโครงสร้างสังคม หรือการตั้งคำถามต่อบางประเด็น เช่น ทำไมจะต้องขยับอายุผู้หมั้นได้ตามกฎหมาย ซึ่งก็ทำให้เกิดการโต้กลับไปมาระหว่าง สว. และกรรมาธิการที่พยายามชี้แจงความตั้งใจของการแก้ไขร่างกฎหมายนี้
ทั้งนี้ กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะเริ่มบังคับใช้ภายใน 120 วัน หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือเร็วที่สุดภายในเดือนสิงหาคม-กันยายน 2567 นี้
หลังจากนี้ ประเด็นที่จะถูกผลักดันจากผู้แทนราษฎร (สส.) และภาคประชาชน คือการผลักดันการรับรองเพศ หรือ ‘สิทธิเปลี่ยนคำนำหน้านาม’ เพื่อให้ครอบคลุมสิทธิที่เพศหลากหลายควรได้รับ ได้รับการยอมรับ และเกิดความเท่าเทียมระหว่างคนทุกเพศอย่างแท้จริง