กองกำลังชาติพันธุ์ที่ทำสงครามในเมียนมามาอย่างยาวนาน สามารถยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองต่างๆ เอาไว้ได้มากขึ้นแล้ว เรื่องราวนี้ทำให้หลายฝ่ายประเมินว่า สิ่งนี้อาจหมายถึงสัญญาณอันตรายที่อาจทำให้พลเมืองต้องหนีออกจากประเทศ และแน่นอนว่า ‘ประเทศไทย’ เป็นอีกหนึ่งปลายทางของพวกเขา
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา สถานการณ์การสู้รบระหว่างทหารเมียนมากับฝ่ายต่อต้านที่มีทหารสหภาพแห่งชาติกระเหรี่ยง (KNU) และกองกำลังปกป้องประชาชน (PDF) เข้ายึดกองบังคับการยุทธวิถีของทหารเมียนมา รวมถึงค่ายทหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเมียวดี ซึ่งอยู่ติดกับตำบลท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตากของประเทศไทย
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ข้าราชการในสังกัดสภาบริหารทหารเมียนมา เช่น ศุลกากรตรวจคนเข้าเมืองเมียวดี และหน่วยต่างๆ ต้องถอนตัวออกจากเมืองเมียวดี ซึ่งทางรัฐบาลเมียนมาได้ประสานมายังรัฐบาลไทย โดยให้เครื่องบินทหารเมียนมาลงจอดที่ท่าอากาศยาน อ.แม่สอด จ.ตาก โดยขอที่ลี้ภัยให้กับข้าราชการ
ยังไม่แน่ชัดว่ามีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในรัฐกะเหรี่ยงกี่รายแล้ว แต่รายงานและรูปภาพในโซเชียลมีเดียระบุว่า กองกำลังของรัฐบาลได้รับบาดเจ็บจำนวนมากในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่ากองทัพจะเพิ่มการปราบปรามทางอากาศ ซึ่งส่งผลให้มีพลเรือนผู้พลัดถิ่นจำนวนมากในรัฐกะเหรี่ยงจนเกือบแตะ 700,000 คน
KNU และแหล่งข่าวในไทยยืนยันกับ Nikkei Asia ว่า เครื่องบินเช่าเหมาลำลำแรกของเมียนมาได้เดินทางออกจากแม่สอดพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลุ่มเล็กๆ พร้อมด้วยเอกสารต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งอธิบายว่าเป็น ‘สินค้าที่มีความละเอียดอ่อน’ ซึ่งเข้าใจว่าจะรวมสินทรัพย์เงินสดจากสาขาธนาคารของรัฐในเมียวดีด้วย
ด้านชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความบนเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์เดิม) ว่า “ไม่ว่าใครจะรบกับใคร ใครจะขัดแย้งแบ่งฝ่ายกับใคร แต่ทุกฝ่ายย่อมเห็นตรงกันว่า ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อพลเรือน ไม่มีการเลือกข้าง”
นอกจากนี้ยังมีกำหนดเที่ยวบินเช่าเหมาลำเพิ่มอีก 2 เที่ยวในช่วง 24 ชั่วโมงต่อมา ภายหลังการเจรจาเร่งด่วนระหว่างกรุงเนปีดอและรัฐบาลไทย เพื่อใช้สนามบินแม่สอดในการอพยพเจ้าหน้าที่ กองกำลังรักษาความมั่นคง และครอบครัวของพวกเขา และให้ที่พักชั่วคราวแก่ผู้อพยพพลเรือนบางส่วนในแม่สอดด้วย
จักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย กล่าวเมื่อวันจันทร์ (7 เม.ย.) ว่า เครื่องบินลำดังกล่าวบรรทุกเฉพาะพลเรือนเท่านั้น ไม่ใช่ทหารหรืออาวุธซึ่งเป็นคำขอทางการทูตนั้น ‘ปกติ’
ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการของไทยและเมียนมาระบุว่า ทางหลวงสายหลักแห่งเอเชียที่ทอดยาวไปยังย่างกุ้งจากเมียวดีและถนนสายอื่นๆ ถูกปิดกั้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากการสู้รบระหว่างกองกำลังต่อต้านและกองกำลังของรัฐบาล การค้าทางบกสองทางส่วนใหญ่ระหว่างเมียนมาและไทย ซึ่งประเมินว่ามีมูลค่ามากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566-2567 ผ่านเมืองเมียวดี
ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นตามเส้นทางการค้า ก่อให้เกิดการหยุดชะงักในด่านการค้าชายแดนอื่นๆ เกือบทั้งหมดที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่การโจมตีอย่างกว้างขวางเมื่อปลายเดือนตุลาคมโดยกองกำลังต่อต้านทั่วภาคเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือของเมียนมา
อ้างอิงจาก