หลังจากมีรายงานสถานการณ์ความยากจนจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาแถลงว่า รัฐบาลพอใจอย่างมากกับตัวเลขความยากจนที่ลดลง ก่อนให้เครดิตกับนโยบายทางเศรษฐกิจ และนโยบายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาล อาทิ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และนโยบายสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
.
โดยสภาพัฒน์เปิดเผยว่าตัวเลขความยากจนของไทยลดจากร้อยละ 9.85 ในปี 2561 ลงมาเหลือ 6.24 ในปี 2562 หรือมีคนจนลดลงประมาณ 4.2 ล้านคน และทำให้ภาพรวมของคนไทยมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นปีละ 9,847 บาท/คน/เดือน
.
การลดอัตราความยากจนได้สำเร็จย่อมเป็นข่าวดีของคนทั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม คำถามคือ ต้วเลขดังกล่าวสะท้อนความสำเร็จในการลดปัญหาความยากจนมากน้อยแค่ไหน?
.
จากการเก็บข้อมูลของ ธนาคารโลก หรือ Word Bank ชี้ว่า ภายหลังที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติทำการรัฐประหารได้ราว 1 ปี หรือระหว่างปี 2558-2561 ความผันผวนทางเศรษฐกิจ และการ disrupt ทางเทคโนโลยี ทำให้อัตราความยากจนของคนไทยถ่างกว้างขึ้น จากร้อยละ 7.2 มาเป็นร้อยละ 9.8 และทำให้จำนวนคนยากจนเพิ่มขึ้นจาก 4.85 ล้านคนเป็นมากกว่า 6.7 ล้านคน
.
นอกจากนี้ ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนฯ ก็ได้แสดงความกังวลในงานประชุม ‘ชีวิตวิถีใหม่ ประเทศไทยหลังโควิด’ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า ตั้งแต่ปี 2550 – 2563 หนี้ครัวเรือนของคนไทยพุ่งขึ้นไปแตะร้อยละ 80 ของ GDP หรือตกราวครัวเรือนละ 200,000 บาท รวมถึงยังตั้งคำถามว่า ตัวเลขความยากจนที่สภาพัฒน์รวบรวมมีความถูกต้องมากน้อยแค่ไหน เพราะตัวเลขผู้ใช้บริการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีมากถึง 14 ล้านคน หรือมากกว่าตัวเลขของสภาพัฒน์ถึง 2 เท่า
.
รายงานฉบับดังกล่าวยังเป็นการเก็บข้อมูลก่อนที่ Covid-19 จะแพร่ระบาด และทำให้ระบบเศรษฐกิจทั่วโลกชะงักงัน โดยจากการประเมินในรายงาน “From Containment to Recovery” ของ ธนาคารโลก ชี้ว่า ในปี 2563 อัตราการเติบโตของ GDP ในไทยอาจลดลงถึง -8.3 และสูงสุดถึง -10.4 เปอร์เซนต์ หรือมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน หากไม่รวมบรูไนและสิงคโปร์ และอาจต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 3 ปี ถึงสภาพเศรษฐกิจจะฟื้นฟูไปอยู่เท่ากับช่วงก่อนการแพร่ระบาด
.
ซึ่งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. ก็ได้เปิดเผยว่า แนวโน้มการตกงานของแรงงานไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 3.3 ล้านคน และถ้าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังเป็นแบบนี้อยู่ อาจเพิ่มมากขึ้นถึง 7-8 ล้านคนในช่วงสิ้นปี
.
และแม้ในปัจจุบัน ประเทศไทยจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ Covid-19 จนทำให้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจหลายตัวกลับมาเดินเครื่องได้แล้ว อย่างไรก็ตาม บทความ ‘เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทยหลังโควิด 19 : โรคปฏิวัติโลก ยกเครื่องสู่อนาคตวิถีชีวิตใหม่’ ที่ลงในเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย ยังแสดงความเป็นห่วงถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน เนืองจากปัญหาใหญ่สองประการคือ เศรษฐกิจไทยพึ่งพิงเงินภายนอกสูง อาทิ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว (ร้อยละ 17 ของ GDP) และภาคการส่งออก (ร้อยละ 60 ของ GDP) และความเปราะบางแต่เดิมของโครงสร้างเศรษฐกิจไทย
.
.
อ้างอิง: