Business Model ของ SpaceX คืออะไร ถ้ามีคนถามคำถามนี้คุณอาจจะตอบว่าคือบริการขนส่งอวกาศ ? คือบริการท่องเที่ยวอวกาศ ? หรือบริการดาวเทียมอินเทอร์เน็ต Starlink ? แต่จริง ๆ แล้ว เป้าหมายจริง ๆ ของ Elon Musk ก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้เขาสามารถนำคนไปตั้งถิ่นฐานบนดาวอังคารได้ ที่เหลือคือเรื่องรอง
.
จริงๆ แล้วถ้าจะมอง SpaceX คือสุดยอดตัวอย่างแห่งการลดต้นทุนของทุกอย่าง แน่นอนว่าการไปอวกาศนั้นแลกมากับต้นทุนมหาศาล เมื่อพูดถึงการไปดาวอังคารแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย ดังนั้นเป้าหมายหลักของ SpaceX คือการทำอย่างไรก็ได้ให้การไปอวกาศนั้นถูกที่สุด
.
และในตอนนี้เราจะมาดูกันว่าถ้าเราวิเคราะห์ SpaceX ตามสิ่งที่พวกเขาทำแล้วนั้น มันนำไปสูาการลดต้นทุนได้อย่างไร และอะไรคือเคล็ดลับที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแนวคิดของการท่องอวกาศในศตวรรษที่ 21 ที่เศรษฐศาสตร์คือคำตอบของความสำเร็จ มากกว่าการแข่งขันกันเพื่อสร้างอำนาจทางการเมืองเหมือนในยุคสงครามเย็น
.
1. การนำจรวดกลับมาใช้ซ้ำ
.
ปกติแล้วจรวดนั้นเป็นยานพาหนะที่ออกแบบมาให้ใช้ได้เพียง 1 ครั้งแล้วทิ้งไปเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าจรวดมีโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นถังเชื้อเพลิงซึ่งจะต้องผลักดันเอาวัตถุที่อยู่บนสุดที่เราต้องการส่งไปอวกาศที่เราเรียกว่า Payload ให้ขึ้นไปบนอวกาศได้ ดังนั้นต้นทุนของการปล่อย 1 ครั้งคือมูลค่าของ จรวด + เชื้อเพลิง และมันเป็นเช่นนี้มาตลอด แม้จะมีแนวคิดเรื่องการออกแบบพาหนะนำส่งที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้อย่าง Space Shuttle หรือกระสวยอวกาศของ NASA แต่ Shuttle นั้นกลับไม่ประสบความสำเร็จ เพราะล้มเหลวในการจัดการกับต้นทุนที่งอกขึ้นมาตามค่าการบำรุงรักษา
.
SpaceX ออกแบบจรวด Falcon 9 ให้สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ด้วยการนำซอฟแวร์อัลกอริทึมที่ชื่อว่า G- FOLD ซึ่งพัฒนาโดย Jet Propulsion Laboratory สังกัด NASA ที่เคยใช้ในการส่งยานอวกาศไปลงจอดบนดาวอังคาร มาเป็นพื้นฐานของระบบลงจอดอัตโนมัติของจรวด Falcon 9
.
สิ่งนี้เป็นตัวที่ทำให้เราเห็นว่า ที่จรวดไม่สามารถกลับมาลงจอดได้เองนั้นเป็นข้อจำกัดด้าน Software ไปซะส่วนมาก เนื่องจาก Hardware ของตัวจรวดที่เป็นโครงสร้างรูปแบบเดิม ๆ (ไม่จำเป็นต้องหน้าตาเหมือนกระสวยอวกาศ) ก็สามารถทำงานตามที่เราต้องการได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์, Grid Fins ที่ใช้ในการบังคับทิศทางในระหว่างที่จรวดตกกลับมา และวัสดุต่าง ๆ ที่ออกแบบให้มีความแข็งแรงขึ้นจากเดิมเพียงเล็กน้อย
.
การที่ Falcon 9 สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ทำให้ต้นทุนในการปล่อยจรวดที่เป็นส่วนต้นทุนของจรวด กับต้นทุนของเชื้อเพลิง แยกออกจากกันโดยชัดเจน ในการปล่อยจรวด 1 ครั้งแทนที่จะเป็น Total Cost = Fuel Cost + Rocket Cost กลายเป็น Total Cost = Fuel + Rocket Cost / จำนวนครั้งที่จรวดถูกใช้งาน
.
และด้วยต้นทุนต่อการปล่อยที่ถูกลง ทำให้ SpaceX สามารถปล่อยดาวเทียมหรือยานอวกาศให้กับลูกค้าได้ในราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง และพอถูกกว่าคู่แข่งแปลว่า SpaceX ก็จะมีลูกค้าที่เยอะขึ้น และลูกค้าที่เยอะขึ้นก็จะทำให้จำนวนครั้งของการปล่อยจรวดมากขึ้น และจำนวนครั้งที่มากขึ้น เอาไปหารกับ Cost ของตัวจรวดแล้ว ทำให้ Total Cost ลดลง ในขณะที่ SpaceX เก็บเงินเท่าเดิม มี Margin สูงขึ้นด้วย
.
2. การทำให้การไปอวกาศเป็นเรื่องปกติ และมีตารางแน่นอน
.
เมื่อ SpaceX สามารถนำจรวดกลับมาใช้ซ้ำได้แล้ว และเรารู้ว่า ต้นทุนการส่งจรวดจะถูกลงตามจำนวนครั้งที่จรวดถูกใช้งาน แต่ถ้า SpaceX ยังต้องบินตามความต้องการของลูกค้าอยู่ SpaceX ก็จะเป็นแค่รถแท็กซี่ ไม่ใช่รถเมล์ เพราะต้องคอยหาลูกค้าคอยขายเรื่อย ๆ
.
ในปี ค.ศ.2018 SpaceX มีการปล่อยจรวดทั้งสิ้น 21 เที่ยวบิน เฉลี่ยอยู่ที่เดือนละเกือบ 2 เที่ยว ส่วนในปี ค.ศ.2019 มีการปล่อยอยู่ที่ 13 เที่ยว แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ในปี ค.ศ.2019 นั้น อัตราส่วนระหว่างการปล่อยจรวด Falcon 9 ที่ผ่านการใช้งานแล้วกับจรวดลำใหม่อยู่ที่ 8:3 ในขณะที่ปี ค.ศ.2018 เป็น 11:9 และในปี ค.ศ.2017 เป็น 9:5 ชัดเจนว่าจรวดที่ผ่านการใช้งานแล้วนั้นเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน
.
ในปี ค.ศ.2019 SpaceX เปิดตลาดใหม่สำหรับดาวเทียมขนาดเล็ก ในโครงการ Small Sat Ride Share ที่เปิดให้ลูกค้ากลุ่มดาวเทียมขนาดเล็ก สำหรับงานวิจัย, มหาวิทยาลัย, โรงเรียน สามารถจองในการส่งดาวเทียมได้ โดยจากเดิม กลุ่มนี้จะต้องติดไปกับจรวดของดาวเทียมขนาดใหญ่เท่านั้น (ถ้าเจ้าใหญ่ไม่ปล่อยก็ปล่อยไม่ได้ เพราะต้นทุนการปล่อยสูง) แต่ตอนนี้พวกเขาสามารถเลือกเวลาการปล่อยของตัวเองได้จาก ‘เที่ยวบิน’ ของจรวดที่ SpaceX วางตารางไว้ โดยมีการคำนวณ Margin ไว้แล้ว ว่ามาลงกี่เจ้าถึงจะคุ้ม ซึ่งโมเดลนี้จะคล้ายกับธุรกิจสายการบิน vs. บริการเช่าเหมาลำ
นอกจากนี้โครงการ Starlink ของ Elon Musk ยังช่วยให้ Falcon 9 มี ‘เหตุผล’ ที่จะขึ้นบินบ่อย ๆ เพราะ 2 เหตุผลได้แก่ 1. จรวด Falcon 9 ยิ่งบินมากก็จะยิ่งลดต้นทุน 2. ยิ่งบินบ่อยก็จะยิ่งสร้างตารางบินสำหรับ Small Sat Ride Share ให้ถี่มากขึ้น รับลูกค้าได้มากขึ้น
.
ทั้งหมดนี้จึงเกิดเป็น Loop มหัศจรรย์ของการลดต้นทุนการปล่อยจรวดนั่นเอง
.
3. รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เก็บหมดทุกเม็ด
.
นอกจาก Loop มหัศจรรย์แล้ว ความน่าทึ่งของ SpaceX อีกข้อหนึ่งก็คือการเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยลดต้นทุนไปได้อีก ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบฐานการผลิตให้อยู่ภายใต้หลังคาเดียวกันหมด ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง, การออกแบบเครื่องยนต์ขนาดเล็กแต่จำนวนเยอะ ๆ (Falcon 9 ใช้เครื่องยนต์ 9 ตัว) เพื่อให้ราคาต่อเครื่องยนต์ที่อาจจะต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ มีราคาถูกลง และสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้จากการเก็บข้อมูล (ยิ่งเยอะยิ่งเจอปัญหาถี่ขึ้น ยิ่งเจอปัญหาถี่ยิ่งเรียนรู้ไวขึ้น) หรือแม้กระทั่งความพยายามในการนำฝาครอบตัว Payload ที่มีราคาข้างละ 7 ล้านบาท สองข้างก็ 14 ล้านบาท มาใช้ใหม่ด้วยการส่งเรือไปเก็บกู้จากทะเล
.
จากที่กล่าวมาทั้งหมด เราจะเห็นว่า SpaceX ออกแบบ Loop Cycle ที่ทำให้ธุรกิจสามารถเกิดความยั่งยืนและสร้างกำไรให้ได้มากที่สุด โดยกำไรจะถูกนำไปใช้กับโครงการการเดินทางไปดาวอังคารของ Elon Musk ซึ่งเป็นเป้าหมายจริง ๆ ของ SpaceX ที่เราเห็นกันว่ามีการรับจ้างปล่อยจรวด ทำโครงการ Starlink ต่างๆ นั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ล้วนแต่นำไปสู่การลดต้นทุนของ SpaceX
.
Content by ณัฐนนท์ ดวงสูงเนิน
.
อ้างอิงข้อมูลจาก
– https://www.spacex.com/rideshare/ (https://www.spacex.com/rideshare/)
– https://www.ted.com/talks/gwynne_shotwell_spacex_s_plan_to_fly_you_across_the_globe_in_30_minutes (https://www.ted.com/talks/gwynne_shotwell_spacex_s_plan_to_fly_you_across_the_globe_in_30_minutes)
– https://www.researchgate.net/publication/258676350_G-FOLD_A_Real-Time_Implementable_Fuel_Optimal_Large_Divert_Guidance_Algorithm_for_Planetary_Pinpoint_Landing (https://www.researchgate.net/publication/258676350_G-FOLD_A_Real-Time_Implementable_Fuel_Optimal_Large_Divert_Guidance_Algorithm_for_Planetary_Pinpoint_Landing?fbclid=IwAR3G6YYcKmzRyeCS6yQATWgDxEeS4MLY-N8hUZSd3HWN5yZ2x_jbX2QCr3k)
– https://www.spacexstats.xyz (https://www.spacexstats.xyz)