คุณคิดว่าจากฉากหน้าของความสวยงาม ดาราคนหนึ่งได้ซ่อนเก็บความเจ็บปวดส่วนตัวเอาไว้มากน้อยแค่ไหน? ออเดรย์ เฮปเบิร์น (Audrey Hepburn) นางเอกตลอดกาลของฮอลลีวูด ผู้ล่วงลับ ได้เคยมอบคำสัมภาษณ์ส่วนตัว ที่ไม่เคยถูกเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ถึงรอยแผลเป็นในใจของเธอที่ไม่เคยรางเลือน จากการที่เธอกลายเป็นลูกกำพร้า หลังจากพ่อของเธอตัดสินใจหย่าขาดกับแม่ ความล้มเหลวในชีวิตการแต่งงานของเธอ ตลอดจนการสูญเสียลูกในท้อง ถูกบอกเล่าในสารคดีเรื่องใหม่ ‘Audrey More Than An Icon’ ที่คุณสามารถหาชมได้ บนช่องทางสื่อดิจิทัลหลัก ในวันที่ 30 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้
ภาพยนตร์สารคดี ได้เปิดเผยเรื่องราวการตามหาพ่อของเฮปเบิร์น หลังจากที่เธอขาดการติดต่อกับพ่อเป็นเวลาร่วม 25 ปี เฮปเบิร์นตามหาที่อยู่ของพ่อในไอร์แลนด์จนเจอ จากความช่วยเหลือของสภากาชาด แต่การเจอหน้าในครั้งนั้น กลับเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ขมขื่น และปวดร้าว หลังจากที่เขาทิ้งเธอและแม่ของเธอในเนเธอร์แลนด์ พ่อของเธอเข้าร่วมขบวนการฟาสซิสต์ในสหราชอาณาจักร
ในสารคดีได้เปิดเผยคำสัมภาษณ์ของเธอ ในนิตยสาร Life เมื่อ ค.ศ.1992 กล่าวถึงรอยแผลแรกในชีวิตของเธอ หลังจากผู้เป็นพ่อได้หย่าขาดจากแม่ ขณะที่เธอมีอายุเพียงแค่ 6 ขวบ “(การจากไปของพ่อฉัน) คือ ระเบิดลูกแรกในชีวิต ความเจ็บปวดในครั้งนี้สร้างแผลขนาดใหญ่ต่อตัวฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกถึงความไม่มั่นคงในชีวิตมาตลอด” เธอย้อนถึงวันที่แม่เธอ บอกความจริงอันเจ็บปวดว่า “วันหนึ่งพ่อหายไป แม่อธิบายกับฉันว่า พ่อออกเดินทางไปเที่ยว และพ่อจะไม่กลับมาอีก วันนั้นแม่ร้องไห้ไม่หยุด ฉันที่ยังเด็กได้แต่พยายามปลอบแม่ โดยที่ฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์มากนัก”
“ความรู้สึกของการมีครอบครัวสำหรับฉันมันสำคัญมากนะ การที่พ่อของฉันตัดขาดไป หรือเขาตัดขาดตัวเองออกไป เป็นความรู้สึกที่สุดแสนจะขมขื่น” เธอให้สัมภาษณ์ในสารคดีดังกล่าว “หากฉันได้พบกับพ่อบ่อยๆ ฉันคงจะได้รู้สึกว่าเขาเคยรักฉัน หรืออย่างน้อยๆ ก็เป็นความรู้สึกว่าฉันยังมีพ่ออยู่… ฉันพยายามสุดตัวที่จะไม่ให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นกับลูกของฉัน คุณจะเริ่มรู้สึกถึงผลกระทบของความไม่มั่นคง และตระหนักถึงความสำคัญของการมีพ่อสุดๆ และคุณก็จะมีความปราถนาที่จะมอบความรู้สึกเหล่านี้ให้แก่ลูกๆ”
ปมความเจ็บปวดต่อมาของเฮปเบิร์น หนีไม่พ้นการหย่าร้างจากสามีคนแรกอย่าง เมล เฟอร์เรอร์ (Mel Ferrer) ทั้งคู่พบรักกันครั้งแรกในการแสดงละครบรอดเวย์เรื่อง พรายน้ำ (Ondine) และแต่งงานใน ค.ศ.1954 โดยทั้งคู่มีพยานรักด้วยกันหนึ่งคน คือ ชอน เฮปเบิร์น เฟอร์เรอร์ (Sean Hepburn Ferrer) ผู้ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า หลังจากที่พ่อของเขาขอหย่ากับแม่จากสาเหตุที่พ่อของเขาเป็นคนยากที่จะเข้าใจ และมักเรียกร้องเรื่องต่างๆ มากมาย เขากล่าวว่าแม่เพียงแค่ต้องการ ชายผู้เป็นแบบอย่างให้เธอได้ พวกเขามีชีวิตคู่ที่มีความสุขเพียงแค่ช่วง 10 กว่าปีแรก ก่อนที่พ่อของเขาจะรู้สึกเสียดายความสัมพันธ์ที่มีให้กับอดีตภรรยาของเขาไปตลอดชีวิต
เฮปเบิร์นแท้งลูกกว่า 3 ครั้ง ใน ค.ศ.1955 1959 และ 1974 โดยในครั้งหนึ่ง เธอเคยประสบอุบัติเหตุตกจากหลังม้า ในการแสดงภาพยนตร์เรื่อง ‘Unforgiven’ ขณะที่เธอกำลังตั้งท้องลูกคนที่สาม เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะมีลูก ความพยายามเหล่านี้ปรากฏให้เห็นได้ชัด เมื่อเธอเขียนจดหมายหลังเธอให้กำเนิดลูกชายคนแรกว่า “ชอนคือความฝันที่เป็นจริงของฉัน และฉันพบว่า มันเป็นความรู้สึกที่ยากเหลือเกิน ที่ได้รู้ว่าฉันมีเขาแล้วในที่สุด”
เธอแต่งงานใหม่อีกครั้งกับ อองเดรีย โดตตี้ (Andrea Dotti) จิตแพทย์ชาวอิตาลี ก่อนจะย้ายที่อยู่ไปยังกรุงโรม ใน ค.ศ.1969 เธอมีลูกชายอีกคนชื่อลูกา (Luca) ความเจ็บปวดจากความสัมพันธ์ในครั้งที่สองเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จากการสัมภาษณ์เพื่อนสนิทของสามีภรรยาคู่นี้ โดตตี้นอกใจเฮปเบิร์นและคบชู้ โดยมีภาพถ่ายของเขาอยู่กับผู้หญิงอื่นจำนวนกว่า 200 คน ทั้งสองหย่าร้างกันใน ค.ศ.1980 เฮปเบิร์นกล่าวถึงอดีตสามีว่า “คุณหมอทำหน้าที่ได้ดีแก่คนไข้ของเขา แต่เขากลับทำหน้าที่ในการดูแลครอบครัวของตนไม่ได้เลย”
เฮเลนา โคแอน (Helena Coan) ผู้กำกับสารคดีที่ทำการสืบค้นข้อมูลของเฮปเบิร์นกว่า 3 ปี บอกกับ The Guardian ว่า เธอรู้สึกฉงนเมื่อเห็นความจริงของเฮปเบิร์น กับภาพความงามของเธอที่ถูกสะท้อนออกมาบนจอภาพยนตร์ มันช่างแตกต่างกัน บาดแผลจากการจากไปของผู้เป็นพ่อ ชีวิตคู่ที่ไม่ราบรื่น ตลอดจนการเสียลูกในท้อง ทำให้เฮปเบิร์นขาดความมั่นใจในตัวเอง เอมมา เฟอร์เรอร์ (Emma Ferrer) หลานสาวคนโตของเฮปเบิร์นให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า “เรื่องลับที่สุดของออเดรย์ก็คือ ชีวิตของเธอนั้นแสนเศร้า”
เฮปเบิร์นอุทิศตนเองให้แก่การทำงานในองค์กร UNICEF สถานที่ที่เธอได้พบกับความสุขในบั้นปลาย เธอทำงานเพื่อเด็กที่ขาดโอกาสทั่วโลก เธอได้มอบความรักอันยิ่งใหญ่ให้แก่เด็กๆ เหล่านั้น หลังจากที่เธอไม่เคยได้รับความรู้สึกเหล่านี้ มันกลับกลายเป็นการเติมเต็มความรักในตัวเธอ เฮปเบิร์นเสียชีวิตลงจากโรคมะเร็งในสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อ ค.ศ.1993 ขณะที่เธอมีอายุได้เพียง 63 ปี ปิดตำนานรอยยิ้มอันสดใส ของนางเอกอมตะแห่งวงการฮอลลีวูด ไปพร้อมๆ กับความลับของความเศร้าในตัวเธอ
อ้างอิงจาก
https://www.theguardian.com/…/the-best-kept-secret-about-au…
https://www.vanityfair.com/…/06/audrey-hepburn-love-letters….
https://www.viridian-nutrition.com/…/audrey-hepburn-her-lif….