เกษตรกร คืออาชีพ ‘ท่อน้ำเลี้ยง’ ของประเทศ แต่ไหนแต่ไรมา เกษตรกรถูกมองเป็นอาชีพที่ยากจน และไม่ได้รับความยุติธรรมในระบบตลาดซื้อขาย จนหลายๆ ครั้งเรามักได้ยินข่าวว่ามีกลุ่มชาวนาไปรวมตัวประท้วงกันที่กระทรวงการคลังบ่อยๆ ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านี้มักได้รับการแก้ไข แต่ไม่ยั่งยืน ทำให้สุดท้าย เหล่าชาวนา และเกษตรกรก็ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับชะตากรรมเดิมๆ เช่นเดียวกับเมื่อวานนี้ ที่มีแฮชแท็ก #ม็อบเกษตรกร ผุดขึ้นมาในทวิตเตอร์ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงมาแก้ไขปัญหาต่างๆ ของเหล่าเกษตรกรอย่างจริงจัง
ที่มาของแฮชแท็กดังกล่าวเกิดขึ้นจากผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งโพสต์ในบัญชีส่วนตัวว่า กลุ่มชาวนาได้มาปักหลักชุมนุมที่บริเวณหน้ากระทรวงการคลังตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย. เป็นเวลา 2 คืน 3 วัน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในเรื่องต่างๆ และต้องบอกเลยว่าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีม็อบเกษตรกร แต่ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร
ภายหลัง มีคนเข้าไปสอบถามพูดคุยกับม็อบครั้งล่าสุดนี้พบว่า การจัดม็อบของกลุ่มชาวนา มีจุดประสงค์เพื่อออกมาเรียกร้อง 3 ข้อ ได้แก่
1) เรียกร้องให้ปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งสามารถทำได้โดยการยืดเวลาชำระหนี้ หรือปรับลดอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น
2) ลดอัตราดอกเบี้ยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. ให้เหลือร้อยละ 3% ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับราคาข้าว และพืชผลการเกษตรที่ลดลง
3) สงวนสินทรัพย์ที่จำนอง สืบเนื่องจากราคาข้าวที่ตกต่ำ ทำให้ชาวนาไม่สามารถไถ่คืนทรัพย์สินที่จำนองไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด จึงขอให้ชะลอการยึดทรัพย์สินเหล่านั้น
นอกจากข้อเรียกร้องต่างๆ เหล่านี้ ทางเพจเฟซบุ๊ก THE Kaset ยังออกมาเปิดเผยปัญหาของโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 ของรัฐบาล ซึ่งโดยปกติจะมีการจ่ายเงินประกันเป็นงวด ในแต่ละรอบจะมี 3 งวด แต่ทาง ธ.ก.ส. ได้เลื่อนจ่ายประกันรายได้ข้าวงวดที่ 2 ออกไปอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งมีการชี้แจงว่า งบประมาณจาก ครม. งวดแรกเหลือไม่เพียงพอที่จะจ่ายให้เกษตรกรทั้งหมด หากจ่ายเพียงบางส่วนอาจเกิดการครหาได้ อย่างไรก็ตาม ทาง ธ.ก.ส. ได้แจ้งปัญหาดังกล่าวไปที่กระทรวงแล้ว
ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ได้ออกมายืนยันว่า ขณะนี้รัฐบาลได้โอนเงินประกันงวดที่ 1 และ 2 ให้กับธนาคารแต่ละสาขาเรียบร้อยแล้ว และได้เตรียมงบประมาณไว้สำหรับโครงการประกันรายได้งวดที่ 3 พร้อมแล้ว ขอให้เหล่าเกษตรกรสบายใจได้
อย่างไรก็ตาม หลายคนได้ตั้งข้อสังเกตว่าเพราะเหตุใด ที่ผ่านมาราคาข้าวเปลือกจึงตกไปอยู่ที่ราคากิโลกรัมละไม่ถึง 10 บาท (ข้าวโพดกิโลกรัมละไม่เกิน 9 บาท มันสำปะหลังกิโลกรัมละไม่เกิน 3 บาท) ซึ่งเป็นราคาที่ตกต่ำสวนทางกับค่าครองชีพที่เพิ่มมากขึ้น และไม่สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับชาวนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประชาชนต้องซื้อข้าวกินในราคาที่ค่อนข้างสูง ส่วนต่างเหล่านี้ตกไปอยู่ในมือใคร ในเมื่อไม่ใช่ชาวนา
ก่อนหน้านี้ มีการแชร์คลิปชาวนาคนหนึ่งที่ออกมาร้องเรียนหลังว่าตนเองโดนธนาคารแห่งหนึ่งหลอกขายพันธ์ุข้าว แต่แท้จริงแล้วเป็นข้าวผสม ทำให้ราคาข้าวเปลือกที่ขายนั้นยิ่งต่ำลงไปอีก ประกอบกับในหนึ่งปี ชาวนาทำนาได้เพียง 1-2 ครั้ง ซึ่งในการทำแต่ละครั้งต้องใช้ทุนทรัพย์ค่อนข้างเยอะ ทั้งค่าข้าว ค่าปุ๋ย อีกทั้งชาวนาบางคนไม่มีที่ดินส่วนบุคคล ทำให้ต้องเช่าที่ ในหนึ่งปีจึงแทบไม่เหลือเงินพอให้ตั้งตัวในครั้งต่อไป เหล่าผู้ใช้ทวิตเตอร์จึงออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนามากกว่านี้
โดยบางส่วนของผู้ใช้ในทวิตเตอร์ยังเสนอให้มีนำประเด็นความเดือดร้อนของช่าวในไปบรรจุในวาระปราศรัยในม็อบต่างๆ เพื่อให้สปอร์ตไลท์ของสังคมมาถึงปัญหาเรื่องนี้มากขึ้น เพราะชาวนาเป็นกลุ่มคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากระบบการเมืองที่ไม่มีความเสถียร ดังนั้น เขาเหล่านั้นควรมีสิทธิ์ออกมาพูด และไม่มีใครสมควรถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีกต่อไป
อ้างอิง
https://www.thansettakij.com/content/Macro_econ/457731
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/908380
#BRIEF #TheMATTER