การผูกขาดทางธุรกิจ เป็นสิ่งที่หลายๆ คนกังวลอย่างมาก เพราะไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมใด มันก็ส่งผลกระทบไม่น้อยกับผู้ให้บริการรายย่อย และเหล่าผู้บริโภค ซึ่งล่าสุด คณะกรรมการการค้าของสหรัฐฯ หรือ FTC ได้เล็งเห็นว่าปัญหาดังกล่าวอาจเกิดขึ้นกับวงการตลาดโซเชียลเน็ตเวิร์ก หลังมีการตรวจสอบว่า พฤติกรรมต่างๆ ของ Facebook มีแนวโน้มที่จะครองตลาดโซเชียลออนไลน์แต่เพียงผู้เดียว
FTC จึงได้ร่วมมือกับอัยการจาก 46 รัฐทั่วอเมริกา รวมทั้ง 2 เขตพิเศษอย่าง วอชิงตัน ดี.ซี. และดินแดนกวมของสหรัฐอเมริกา ยื่นฟ้อง Facebook ต่อศาลวอชิงตัน ดี.ซี. ในข้อหาผูกขาดตลาดโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยทางผู้ยื่นฟ้องได้ยื่น 3 ข้อเรียกร้องต่อศาล คือ ขอให้ศาลสั่งแยกธุรกิจ Instagram กับ WhatsApp ออกมา และสั่งห้าม Facebook กำหนดเงื่อนไขในการบีบนักพัฒนา รวมถึงต่อจากนี้ หาก Facebook การซื้อกิจการใดๆ ต้องยื่นขออนุมัติการซื้อก่อน
FTC ให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมา Facebook แสดงให้เห็นชัดเจนว่ามีเจตนาจะควบรวมกิจการต่างๆ ผ่านความพยายามไล่ซื้อบริษัทที่มีแนวโน้มจะมาเป็นคู่แข่งในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น Instragram รวมถึง WhatsApp นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขในการ API หรือการสร้างช่องทางเชื่อมต่อระหว่างเว็บไซต์หนึ่งไปยังอีกเว็บไซต์หนึ่ง ว่าห้ามพัฒนาหรือ นำฟีเจอร์ที่สามารถแข่งขันกับ Facebook ไปใช้ และยังห้ามโปรโมท หรือเชื่อมต่อกับบริการโซเชียลอื่นๆ อีก
และหนึ่งในเงื่อนไข API ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือ การที่แอพฯ Vine ของทวิตเตอร์ โดน Facebook กีดกันไม่ให้เชื่อมต่อ API ทำให้ขณะนั้น Vine ไม่สามารถดึงรายชื่อผู้ติดต่อจาก Facebook ได้ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์การสกัดดาวรุ่งของ Facebook ที่ได้ผลเป็นอย่างดีอีกวิธีหนึ่ง
จากพฤติกรรมต่างๆ ทำให้ FTC มองว่า นี่เป็นความพยายามในการผูกขาดตลาดโซเชียลออนไลน์ของ Facebook ซึ่งในอนาคตอาจจะทำให้ในอนาคตแอพฯ สีน้ำเงินกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการตลาดออนไลน์ รวมถึงกลายเป็นบริษัทที่ยากต่อการควบคุม
อย่างไรก็ตาม ทาง Facebook ได้ออกมาโต้ตอบว่า การซื้อ Instragram, WhatsApp รวมถึงแอพฯ อื่นๆ นั้น เป็นการซื้อเพื่อนำมาพัฒนาต่อ ซึ่งทุกการซื้อขายกิจการของ Facebook ได้รับการพิจารณา และรับรองจากองค์การต่างๆ ทั่วโลกเรียบร้อยแล้ว และหลายกรณี ทาง FTC เป็นผู้อนุมัติให้เองด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ Facebook ยังอ้างถึงกลยุทธ์เรื่องการ API เพื่อสกัดกั้นคู่แข่งในตลาดเดียวกัน โดย Facebook กล่าวว่า บริษัทอื่นๆ อย่าง Twitter, LinkedIn, Pinterest, Youtube และอีกมากมาย ล้วนใช้วิธีนี้เช่นกัน เพราะมันคือวิธีมาตรฐานของอุตสาหกรรมตลาดออนไลน์ Facebook จึงมองว่าการสั่งฟ้องในครั้งนี้ไม่เป็นธรรม
ในส่วนของผลของคดีนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป อาจต้องมาติดตามกันอีกครั้ง แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ตอนนี้ หาก Facebook ถูกตัดสินให้มีความผิดจริงตามที่ FTC ยื่นฟ้อง มีสิทธิ์สูงมากที่ทาง Facebook จะยื่นอุทธรณ์ในกรณีดังกล่าว
ทั้งนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Facebook ถูกสอบสวนในกรณีดังกล่าว ก่อนหน้านี้ Facebook ก็โดนสอบสวนโดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐและอัยการของรัฐ แต่การสอบสวนในครั้งนั้นจบลงหลังจากที่ Facebook ยอมจ่ายเงินค่าปรับสูงถึง 5 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.5 แสนล้านบาท เพื่อยุติความยุ่งยากที่อาจจะตามมา
อ้างอิงจาก
https://www.blognone.com/node/120043
#BRIEF #TheMATTER