จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าข้อมูล real-time location ของเราตกไปอยู่ในมือของบุคคลที่สาม? ด้วยคำถามที่น่ากังวลนี้ ทำให้ FCC (เสมือน กสทช. ของสหรัฐฯ) สั่งปรับค่ายมือถือที่ขายข้อมูลของลูกค้า
FCC (Federal Communications Commission) หรือคณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารของสหรัฐฯ แถลงว่า จะปรับเงินรวมกว่า 196 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7,000 ล้านบาท) กับผู้ให้บริการเครือข่ายหรือค่ายมือถือ อย่าง T-Mobile (และรวมถึง Sprint ที่อยู่ในความดูแล), AT&T และ Verizon จากการแชร์ข้อมูลพิกัด (real-time location) ของลูกค้าอย่างไม่ได้รับคำยินยอม
ประเด็นการแชร์ real-time location นี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2018 โดย FCC ได้เริ่มเสนอให้ปรับในปี 2020 แต่เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ ที่ในที่สุดคณะกรรมาธิการที่มีสมาชิกจากพรรครีพับลิกันเป็นเสียงส่วนมาก ก็อนุมัติและสรุปผลว่าให้ปรับได้
รายงานของ FCC ระบุว่าแต่ละค่ายได้มีการแชร์ข้อมูล location ของลูกค้าให้กับ ‘ตัวแทนผู้รวบรวม’ ที่จะขายข้อมูลต่อให้กับบุคคลที่สามต่อไป โดยแต่ละค่ายลดภาระหน้าที่โดยการไม่ขอความยินยอมจากลูกค้าก่อน และไม่ได้ใช้มาตรการปกป้องข้อมูลอย่างเหมาะสม และในรายงานยังระบุว่า หลังจากมีรายงานในปี 2018 ก็ยังไม่มีมาตรการป้องกันที่เหมาะสมและแน่ใจได้ว่าขอรับคำยินยอมจากลูกค้าก่อน
.
เจสสิกา โรเซนวอร์เซล ประธาน FCC กล่าวว่า “ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนมากเหล่านี้ จะตกไปอยู่ในมือของพวกพวกจับตัวประกัน นักล่าเงินรางวัล ซึ่งเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายมาตรา 222 ของ พ.ร.บ. การสื่อสาร ที่คุ้มครองความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค”
อย่างไรก็ดี ทั้งสามค่ายใหญ่ระบุว่าจะยื่นขออุทธรณ์ต่อค่าปรับนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกิดมานานแล้ว และระบุว่าในปัจจุบันทั้งสามค่ายยุติการแชร์ข้อมูลเหล่านี้ไปแล้ว โดย T-Mobile แถลงว่า “การแชร์ location ให้กับพวกตัวแทนผู้รวบรวมนั้นยกเลิกไปกว่า 5 ปีแล้ว หลังจากเราทำระบบรองรับให้แน่ใจแล้วว่าจะยังคงบริการช่วยเหลือรถเสียฉุกเฉิน การป้องกันการทุจริตหลอกลวงบนมือถือ และแจ้งเตือนฉุกเฉิน จะยังคงมีต่อไป” พวกเขายังให้ความมั่นใจว่าจะรักษาข้อมูลลูกค้าอย่างจริงจัง แต่ยังเห็นว่าค่าปรับครั้งนี้มันมากเกินไป
จากข่าวนี้ มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนหนึ่ง โดยบางส่วนตั้งคำถามถึงมูลค่าของข้อมูลที่ค่ายต่างๆ ขายได้ ว่าเป็นจำนวนมหาศาลเพียงใด และแสดงความกังวลถึงข้อมูลส่วนตัวของตนเองที่ถูกขายออกไป
ไม่เพียงแต่ในสหรัฐฯ เท่านั้นที่พบการขายข้อมูลลูกค้าค่ายมือถือ ในประเทศไทยเอง แม้จะยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าค่ายต่างๆ มีการขายข้อมูล แต่ก็มีข้อสังเกตที่จากผู้ที่ถูกรบกวนจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ว่าจะนำเบอร์และข้อมูลส่วนตัวมาจากไหนหากไม่ใช่ค่ายมือถือ ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ และยังรอการแก้ไข
จึงจะต้องติดตามต่อไปว่าในประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เปรียบเทียบกับการนำข้อมูลไปแลกกับความสะดวกสบายและความปลอดภัยของชีวิตนั้น จะต้องสมดุลอย่างไรให้เหมาะสม รวมถึงการเข้ามามีบทบาทของภาครัฐว่าจะต้องทำอย่างไร ให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับประชาชนมากที่สุด
อ้างอิงจาก
https://docs.fcc.gov/public/attachments/DOC-402213A1.pdf