คุณทราบหรือไม่ว่า ผู้หญิงอย่างน้อย 1 ใน 3 ทั่วโลก มีประสบการณ์การถูกใช้ความรุนแรงทางร่างกาย และ/หรือ ทางเพศ กับทั้งผู้ที่เป็นและไม่เป็นคู่นอนของพวกเธอ ผู้หญิงมักตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถูกข่มขืน ด้วยเหตุนี้ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (17 ธ.ค.) รัฐสภาเดนมาร์กได้ผ่านกฎหมายข่มขืนฉบับใหม่ขึ้น โดยหากมีผู้ที่ร่วมเพศกับผู้อื่นที่ไม่ได้ให้ ‘ความยินยอมพร้อมใจอย่างชัดเจน’ ในการหลับนอนด้วย ให้ถือว่ามีความผิดฐานข่มขืน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
The New York Times รายงานว่า ที่ผ่านมา การพิสูจน์ข้อหาการถูกข่มขืนของโจทก์ในเดนมาร์กนั้นทำได้ยาก เนื่องจากกฎหมายจำเป็นจะต้องให้เหยื่อแสดงหลักฐานล่าสุดของการถูกใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับพวกเธอ ซึ่งบ่อยครั้ง หลักเกณฑ์เหล่านี้ทำให้พวกเธอไม่สามารถทำให้คำให้การจากการถูกข่มขืนมีน้ำหนักมากพอที่ศาลจะรับฟัง กฎหมายดังกล่าวของเดนมาร์กจึงเป็นตัวช่วยขยายขอบเขตการนิยามการถูกข่มขืนให้กว้างมากยิ่งขึ้น เพื่อที่พวกเขาจะมั่นใจได้ว่า จะไม่มีผู้หญิงคนใดถูกละเลยจากข้อปฏิบัติทางกฎหมายเดิม
นิค เฮเคอร์อัพ (Nick Haekkerup) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของเดนมาร์ก ได้ให้สัมภาษณ์หลังจากที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงคะแนนผ่านกฎหมายดังกล่าวว่า “เป็นที่แน่ชัดในตอนนี้แล้วว่า หากใครคนใดคนหนึ่งจากทั้งสองไม่ได้ยินยอมที่จะมีการร่วมเพศด้วยนั้น การกระทำดังกล่าวก็จะเข้าข่ายการข่มขืนทันที” กฎหมายข่มขืนฉบับใหม่ของเดนมาร์กนี้ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. ที่จะถึง
กฎหมายการคุกคามทางเพศฉบับใหม่นี้ ยังพูดถึงการข่มขืนในคู่สมรส ตลอดจนการนิยามในทางกฎหมายของการข่มขืน ที่รวมไปถึงการกระทำต่างๆ อันนอกเหนือไปจากการสอดใส่ร่วมเพศกัน แต่ถึงอย่างไรก็ดี องค์กรสิทธิสตรีในเดนมาร์กยังคงกล่าวหาว่า การบังคับใช้กฎหมายที่ผ่านมา ตลอดจนระบบยุติธรรมภายในประเทศ ยังคงมีความล้มเหลวในการคุ้มครองเหยื่อ โดยจากรายงานของแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวว่า เดนมาร์กยังคงมี ‘วัฒนธรรมการข่มขืนที่แพร่หลาย’ รวมไปถึงวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดของพวกนักข่มขืนในท้องถิ่น
จากรายงาน มีการระบุเพิ่มเติมว่า กฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านการลงคะแนนเห็นชอบในรัฐสภาเดนมาร์ก โดยไม่มีการงดการออกเสียง หรือแม้แต่กระทั่งการออกเสียงคัดค้าน นักการเมืองพรรคอนุรักษ์นิยมของเดนมาร์กอย่าง โซเรน ปาเป โปลเซน (Søren Pape Poulsen) ที่เคยออกตัวคัดค้านกฎหมายข่มขืนที่ถูกวางอยู่บนฐานการตัดสินของความยินยอมพร้อมใจ ได้เริ่มออกมาสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ตั้งแต่ปีก่อน หลังจากที่เขาเริ่มรับฟังการถูกล่วงละเมิดทางเพศในผู้หญิงชาวเดนมาร์ก เขายังได้เคยทวิตข้อความลงบนทวิตเตอร์ถึงแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลว่า “เราจะต้องทำให้มั่นใจได้ว่า การออกกฎหมายฉบับนี้ของเดนมาร์ก จะสะท้อนข้อเท็จจริงที่ว่า การร่วมเพศต้องเกิดจากความสมัครใจ มันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ที่จะนำความยุติธรรมมาสู่เหยื่อของการถูกคุกคามทางเพศ”
ก่อนหน้านี้ เดนมาร์กได้เคยให้สัตยาบันในสนธิสัญญายุโรป ในการประชุมที่อิสตันบูล ที่มีเป้าหมายจะให้นำเรื่องความยินยอมพร้อมใจเข้ามาผูกโยงไว้กับกฎหมายว่าด้วยการข่มขืนตั้งแต่ ค.ศ.2014 แต่กว่ากฎหมายดังกล่าวจะผ่านรัฐสภาออกมาบังคับใช้ในปีหน้าที่จะถึงนี้ได้ ก็ต้องอาศัยเวลาร่วมหลายปี โดย เฮเลนา ฮานเซน (Helena Hansen) ประธานสมาคมสตรีเดนมาร์กได้ลงความเห็นว่า “มันถึงเวลาแล้วที่กฎหมายควรจะถูกชำระใหม่” เฮเลนายังชี้ให้เห็นถึงตัวเลขการข่มขืนที่เกิดขึ้นในเดนมาร์ก ว่ามันไม่ได้สะท้อนถึงความภาคภูมิใจต่อประเด็นความเท่าเทียมทางเพศที่ประเทศได้ถูกนำเสนอมาโดยตลอด
จากรายงานระบุว่า มีผู้หญิงเดนมาร์กกว่า 11,400 ราย เป็นเหยื่อที่ถูกข่มขืนและเกือบถูกข่มขืนในปีนี้ โดยจากสถิติของกระทรวงยุติธรรมเดนมาร์กเปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า เกินกว่าครึ่งหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ทั้งๆ ที่ตัวเลขของเหยื่อมีมากขนาดนี้ แต่จากรายงานของตำรวจเมื่อปีก่อน กลับมีการรายงานกรณีการข่มขืนเพียงแค่ 1,600 กรณี และมีเพียงแค่ 314 กรณีเท่านั้นที่ผู้กระทำความผิดถูกลงโทษ จากประเทศที่มีจำนวนประชากรกว่า 5.8 ล้านคน รายงานระบุเพิ่มเติมว่า ตัวเลขที่น้อยนิดเหล่านี้เกิดขึ้นจากการที่ผู้หญิงในเดนมาร์กรู้สึกว่าตนไม่สามารถหวังพึ่งกฎหมายของรัฐได้
หากย้อนกลับไปเมื่อ 3 เดือนก่อน พรรคฝ่ายซ้ายในเดนมาร์กเป็นผู้ริเริ่มในการนำเสนอกฎหมายดังกล่าว โดยพวกเขาระบุว่า ‘ความยินยอม’ จะต้องเป็นความยินยอมทางเพศที่สมัครใจ และเป็นการแสดงออกถึงเจตจำนงเสรีของแต่ละบุคคลผ่านคำพูดหรือการกระทำ โดยในการพิจารณานี้ จะให้กลุ่มสตรีเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนกฎหมายใหม่ด้วย ก่อนที่พวกเขาคาดว่ากฎหมายจะออกเป็นผลสำเร็จในช่วงสิ้นปี ซึ่งก็คือกำหมายแบับดังกล่าวที่เพิ่งจะผ่านการรับรองจากรัฐสภาเดนมาร์กไป
ทั้งนี้ กฎหมายข่มขืนใหม่ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ฉบับนี้ ทำให้เดนมาร์กกลายเป็นชาติที่ 12 ของยุโรป ที่มีกฎหมายข่มขืนอันวางอยู่บนฐานของความยินยอมพร้อมใจ ตามมาจากเบลเยียม เยอรมนี สหราชอาณาจักร กรีซ และไอร์แลนด์ ที่เคยมีกฎหมายในลักษณะดังกล่าวออกมาก่อนแล้ว ต่างจากฝรั่งเศสที่ยังคงเห็นค้านต่อการตัดสินโทษการข่มขืนบนฐานของความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย
กฎหมายการข่มขืนฉบับใหม่ฉบับนี้ของเดนมาร์ก อาจทำให้เดนมาร์กแก้ไขปัญหาการข่มขืนที่เกิดขึ้นในประเทศของตน จากช่องว่างทางกฎหมายที่เคยมี จนกลายเป็นวัฒนธรรมการข่มขืนที่นักข่มขืนกลับลอยนวลพ้นผิดอยู่เป็นเนืองๆ กฎหมายดังกล่าวถูกยอมรับหลักการในท้ายที่สุด หลังจากการต่อสู้เรียกร้องสิทธิดังกล่าวขององค์กรสิทธิสตรีในเดนมาร์กอันยาวนาน และมันอาจจะไม่ได้ทำให้เหยื่อต้องต่อสู้กับนักข่มขืนเองโดยลำพัง แต่มันอาจทำให้นักข่มขืนเลิกคิดที่จะข่มขืนเหยื่อที่ปราศจากความยินยอมพร้อมใจในท้ายที่สุด
อ้างอิงจาก
https://www.nytimes.com/2020/12/17/world/europe/denmark-rape-law.html
https://www.aljazeera.com/news/2020/12/17/denmark-to-define-sex-without-explicit-consent-as-rape
https://thematter.co/brief/brief-1599202801/122724
#Brief #TheMATTER