คุณรู้หรือไม่ว่า จากผลสำรวจของ UN Women เมื่อไม่กี่ปีก่อนพบว่า มีผู้หญิงอย่างน้อย 1 ใน 3 จากทั่วโลก เคยประสบกับปัญหาความรุนแรงทางเพศ และจากผลสำรวจพบว่า อย่างน้อยๆ ในประชากรผู้หญิงเกินกว่าครึ่ง เผชิญกับการถูกคุกคามทางเพศในหลากหลายรูปแบบ นำมาสู่ข้อถกเถียงของหลายรัฐ บนประเด็นของการร่างกฎหมายต่อต้านการคุกคามทางเพศ และล่าสุด เลบานอนเพิ่งจะกลายเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีกฎหมายต่อต้านการคุกคามทางเพศไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
รัฐสภาของเลบานอนในกรุงเบรุต ได้รับรองกฎหมายฉบับสำคัญ ที่ทำให้เรื่องการคุกคามทางเพศเป็นความผิดทางอาญา โดยกฎหมายดังกล่าวมีบทลงโทษ ที่อาจทำให้ผู้ที่กระทำการเข้าข่ายคุกคามทางเพศแก่ผู้อื่น อาจต้องโทษจำคุกสุงสุดถึง 4 ปี และอาจถูกปรับเป็นเงิน 675,000 ปอนด์เลบานอน (ประมาณ 13,500 บาท) ซึ่งคิดเป็น 50 เท่าตัวของค่าจ้างขั้นต่ำของประชากรในเลบานอน
ABAAD เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ที่ดูแลในเรื่องสิทธิสตรีในเลบานอน และเป็นตัวตั้งตัวตีในการยื่นร่างกฎหมายฉบับนี้ เข้าสู่รัฐสภาของเลบานอน โดยทนายความของ ABAAD อย่าง ดาเนียลล์ โอเยค (Danielle Hoyek) ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับทาง Al Jazeera ว่า “มันคือกฎหมายที่ดีมาก โดยมันจะช่วยให้เกิดการยับยั้งการกระทำที่จะเป็นการคุกคามทางเพศได้” ทั้งนี้ โอเยคเปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า “กฎหมายดังกล่าวช่วยต่อความหวังของพวกเรา ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของเลบานอนที่กำลังประสบกับวิกฤติ มันแสดงให้พวกเราเห็นว่า เราไม่ได้อยู่ท่ามกลางกฎธรรมชาติเหมือนกับอยู่ในป่า เพราะว่าเรายังคงมีกฎหมายที่จะเป็นที่พึ่งพาให้แก่เราได้”
เช่นเดียวกันกับทาง UN Women ของเลบานอน ที่ออกมาทวิตข้อความบนทวิตเตอร์ เพื่อแสดงความยินดีว่า “กฎหมายฉบับนี้ถือได้ว่าเป็นกฎหมายฉบับแรกของเลบานอน ที่มีการกำหนดโทษผู้กระทำความผิดที่กระทำการในฐานการคุกคามทางเพศ”
กฎหมายดังกล่าวมีมาตรการในการตัดสินความผิดที่รัดกุม เนื่องจากกฎหมายอนุญาตให้มีการคุ้มกันโจทก์ และพยาน ที่จะขึ้นให้การบนชั้นศาล เพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวหาของการถูกคุกคามทางเพศ ทั้งนี้ กฎหมายยังได้มีการจัดตั้งกองทุนพิเศษ ภายใต้การทำงานของกระทรวงกิจการสังคมของเลบานอน ที่จะช่วยเยียวยาเหยื่อที่ถูกคุกคามทางเพศ ตลอดจนการเสริมสร้างความตระหนักรู้ในประเด็นการคุกคามทางเพศอีกด้วย
โอเยคเปิดเผยว่า กฎหมายฉบับนี้ ถือว่าเป็นกฎหมายที่ก้าวหน้าที่สุด ในบรรดาประเทศแถบตะวันออกกกลางด้วยกัน จากการที่กฎหมายนิยามการคุกคามทางเพศที่เปิดกว้าง คือ “การกระทำสิ่งใดที่ไม่ชอบ อันเกินการกระทำที่ปรกติวิสัย หรือไม่เป็นที่ปราถนาของโจทก์ ด้วยการกระทำอันแปลความหมายไปทางเพศ ที่ถือเป็นการละเมิดร่างกาย ความเป็นส่วนตัว หรือความรู้สึก” ทั้งนี้ การคุกคามทางเพศภายใต้กฎหมายฉบับนี้ ยังครอบคลุมการกระทำในลักษณะต่างๆ “ผ่านทางคำพูด การกระทำ การส่งสัญญาณ การแสดงออกทางเพศ หรือคำใบ้ในเชิงภาพอนาจาร” อีกทั้งยังหมายรวมถึงการกระทำผ่านอินเตอร์เน็ตด้วย
Al Jazeera รายงานเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ว่ากฎหมายดังกล่าว จะถูกบังคับใช้แล้วก็ตาม แต่ยังคงมีช่องว่างระหว่างเพศในเลบานอนอยู่ อาทิ หญิงชาวเลบานอนไม่สามารถส่งต่อสัญชาติให้แก่คู่สมรส หรือบุตรของตนเองได้ เช่นเดียวกันกับในกฎหมายที่ยังคงมีช่องว่าง เช่น การข่มขืนในคู่สมรสยังคงไม่ถูกนับรวมเข้ามาเป็นความผิดฐานคุกคามทางเพศ รวมไปถึงหญิงที่ไม่ใช่ชาวเลบานอนกลับไม่ถูกกฎหมายดังกล่าวครอบคลุม
หากย้อนกลับมาพิจารณากฎหมายการคุกคามทางเพศในไทยแล้ว ประชาไทเคยสัมภาษณ์ บุษยาภา ศรีสมพงษ์ นักกฎหมายผู้ขับเคลื่อนการยุติปัญหาความรุนแรงในไทย โดยบุษยาภากล่าวว่า กฎหมายไทยไม่ได้เน้นเรื่องการคุกคามทางเพศมากนัก แม้จะถูกเขียนไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 แต่การลงโทษกลับอยู่ในระดับที่น้อย และกฎหมายดังกล่าวอยู่แค่ในหมวดลหุโทษ เพราะถึงแม้จะมีการพูดถึงการคุกคามทางเพศ แต่ก็มีความจำกัดในการปรับใช้ เนื่องจากการคุกคามทางเพศที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าผู้อื่น หรืออยู่ในอินเทอร์เน็ต ผู้ถูกกระทำมักจะถูกเอาผิดได้ยาก เพราะเจ้าหน้าที่มักไม่นำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการ จากเหตุผลที่ว่า ‘ดำเนินการได้ยาก’ อีกทั้งกฎหมายเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศของไทยไม่ได้มีการแก้ไขมานานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น กฎหมายการคุกคามทางเพศของไทยในปัจจุบันก็พัฒนาไม่ทันกันกับยุคดิจิตัลด้วย
อ้างอิงจาก
https://prachatai.com/journal/2020/06/88268
https://edition.cnn.com/2017/11/25/health/sexual-harassment-violence-abuse-global-levels/index.html
#Brief #TheMATTER