ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ยังน่าเป็นห่วง แต่หลายพื้นที่ในภาคใต้ยังต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์น้ำท่วมสูง จนนำมาสู่การขึ้นเทรนด์อันดับหนึ่งในทวิตเตอร์ สำหรับแฮชแท็ก #น้ำท่วมยะลา ที่มีประชาชนออกมาเรียกร้องให้ภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้องเร่งเข้ามาช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่
แม้ชื่อแฮชแท็กดังกล่าวจะระบุว่าเป็นจังหวัดยะลา แต่พบว่าพื้นที่อื่นๆ อย่างนราธิวาส และปัตตานี ก็กำลังประสบกับมวลน้ำหลากที่เกิดขึ้นหลังจากฝนตกหนัก ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือนไว้ก่อนหน้าแล้วว่า ในช่วงวันที่ 1 – 3 ม.ค. มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณภาคใต้เคลื่อนตัวทางตะวันตกเข้าสู่ทะเลอันดามัน ทำให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ของภาคใต้
ขณะนี้มีรายงานว่าบริเวณพื้นที่จังหวัดยะลายังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการวัดปริมาณฝนที่ตกลงมาในจังหวัดยะลา 3 วันที่ผ่านมา พบว่าเป็นปริมาณที่สูงสุดในรอบ 10 ปี ทำให้ระดับน้ำในเขื่อนบางลาง ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดยะลาเข้าขั้นวิกฤติ เจ้าหน้าที่จึงต้องระบายน้ำออกจากเขื่อนเพิ่ม เพื่อรักษาความมั่นคงของโครงสร้างเขื่อนบางลางเอาไว้ โดยพื้นที่ท้ายน้ำอย่าง อำเภอบันนังสตา, ยะหา, กรงปินัง, รามัน และอำเภอเมืองยะลา ต่อเนื่องไปถึงจังหวัดปัตตานี จึงเป็นพื้นที่รับมวลน้ำที่ท่วมตลิ่งจากน้ำแม่ปัตตานี
สำนักข่าวผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า น้ำในแม่น้ำปัตตานีได้เอ่อล้นตะลิ่งตั้งแต่ช่วงกลางดึกวันที่ 7 ม.ค. และเข้าท่วมพื้นที่บ้านยือโมะ และบ้านจางา ต.ปะกาฮารัง อ.เมือง จ. ปัตตานี ทำให้บ้านเรือนประชาชนกว่า 300 หลัง ถูกน้ำท่วมสูง และมีแนวโน้มจะมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากฝนยังคงตกมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับพื้นที่สองหมู่บ้านในจังหวัดปัตตานีที่กล่าวถึงข้างต้น เป็นพื้นที่ราบลุ่ม และมักเจอปัญหาน้ำทั่วซ้ำซากทุกปี ชาวบ้านในพื้นที่เปิดเผยว่านี่เป็นครั้งที่ 3 ในรอบปี ที่ต้องรับมือกับปัญหาดังกล่าว และไม่ใช่ได้รับผลกระทบเพียงตัวอาคารบ้านเรือนเท่านั้น แต่พื้นที่เกษตรซึ่งเป็นพื้นที่ทำมาหากินของชาวบ้านก็ได้รับความเสียหายไปด้วย
รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ อดีตหัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยอธิบายเกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้เกิดน้ำท่วมภาคใต้ไว้ว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากรูปแบบของผังเมืองที่วางขัดต่อเส้นทางน้ำหลาก ทำให้น้ำไม่มีทางไหล น้ำมาสู่การเข้าท่วมในพื้นที่อยู่อาศัย และพื้นที่ทำกินของประชาชนชน
แม้ว่าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐ และเอกชนจะเข้ามาช่วยเหลือโดยการมอบถุงยังชีพ หรือช่วยในส่วนของการขนย้ายต่างๆ แต่วิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนอาจเริ่มต้นที่การแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด แน่นอนว่าการหยุดธรรมชาตินั้นอาจจะเกินความสามารถของมนุษย์ไป แต่การเตรียมพร้อมรับมือที่ถูกต้อง เช่น การขุดลอกคูคลองให้ลึกขึ้นเพื่อให้น้ำมีทางไหลผ่านที่สะดวก หรือกำหนดเขตน้ำท่วม เพื่อจัดเป็นพื้นที่พักน้ำระหว่างรอระบายลงสู่ทะเล วิธีเหล่านี้แม้จะไม่ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน แต่อาจช่วยทุเลาเหตุการณ์เช่นนี้ในปีถัดๆ ไปลงได้บ้าง
อ้างอิงจาก
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/910449
https://mgronline.com/south/detail/9640000001483
https://www.thairath.co.th/news/local/south/2007925
https://www.chula.ac.th/cuinside/5294/
#Brief #TheMATTER