เข้าสู่เดือนที่สอง หลังจากที่กองทัพเมียนมาทำการรัฐประหาร ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ อองซาน ซูจี มุขมนตรีแห่งรัฐ จากพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี มีรายงานล่าสุดว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารของเมียนมา ได้ปราบปรามประชาชนผู้ประท้วง จนมีผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 50 ราย
ล่าสุด ผู้แทนพิเศษติดตามสถานการณ์ในเมียนมาของสหประชาชาติ คริสทีน ชราเนอร์ เบอร์เกเนอร์ (Christine Schraner Burgener) ได้ออกแถลงการณ์ ถึงสถานการณ์การปราบปราบประชาชน ผู้ประท้วงต่อต้านการรัฐประหาร โดยจากรายงานของสหประชาชาติระบุว่า ภายในวันเดียวของการชุมนุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (3 มีนาคม) มีประชาชนผู้ประท้วงถูกสังหารรวมกันกว่า 38 ราย
เบอร์เกเนอร์ ในฐานะตัวแทนของสหประชาชาติ เรียกร้องให้ประชาคมโลกและเมียนมาหา “ทุกเครื่องมือที่สามารถใช้ได้ ซึ่งจำเป็นต่อการหยุดสถานการณ์ดังกล่าว” โดยเธอกล่าวเสริมว่า หากวิกฤตดังกล่าวไม่สามารถถูกแก้ไขได้ทัน ก็อาจส่งผลกระทบต่อ “เสถียรภาพของภูมิภาค” และอาจก่อให้เกิด “สงครามจริง” ในเมียนมาได้
ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่ของเมียนมา จะทำการปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างหนัก แต่การประท้วงของประชาชนเมียนมา กลับยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องนานนับเดือน ทั้งนี้ สหประชาชาติได้คาดการณ์ว่า มีประชาชนชาวเมียนมาเสียชีวิต ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์รัฐประหารในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ แล้วอย่างน้อย 50 ราย อย่างไรก็ดี นักกิจกรรมในเมียนมาออกมาระบุว่า อาจมีตัวเลขผู้เสียชีวิตจริงมากกว่านั้น
“วันนี้เป็นวันที่นองเลือดที่สุด นับตั้งแต่เกิดเหตุการรัฐประหาร” เบอร์เกเนอร์กล่าว “พวกเราต้องการความเป็นหนึ่งเดียวกันของประชาคมนานาชาติ ดังนั้น ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับรัฐสมาชิก ที่จะจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม” อย่างไรก็ดี CNN รายงานว่า ทางสำนักข่าวได้พยายามติดต่อขอความเห็นจากทางกองทัพเมียนมา แต่ยังไม่มีคำตอบใดถูกส่งกลับมา
ทางด้านเลขาธิการสหประชาชาติอย่าง อันโตนิโอ กูแตร์เรส (Antonio Guterres) ได้ออกมาแถลง ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า “การใช้กำลังความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมโดยสันติ และการจับกุมตัวแบบสุ่ม เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้” โดยกูแตร์เรสเรียกร้องต่อประชาคมโลกเพิ่มเติมว่า ขอให้ “ส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปให้กองทัพเมียนมา เพื่อให้พวกเขาเคารพสิทธิของประชาชนชาวเมียนมา ที่ได้แสดงออกผ่านผลการเลือกตั้ง”
ในขณะที่ The Guardian รายงานว่า ในการปราบปรามเมื่อวันพุธที่ผ่านมา มีวัยรุ่นหญิงวัย 19 ปี ถูกยิงเสียชีวิตที่มัณฑะเลย์ โดยมีการส่งต่อรูปของเธอ ขณะใส่เสื้อยึดที่มีข้อความระบุว่า “ทุกอย่างจะโอเค” เช่นเดียวกับเด็กชายผู้ประท้วง ที่เสียชีวิตลงในวัยเพียงแค่ 14 ปี รวมถึงผู้เสียชีวิตจากการปราบปราบในโมนยวา ย่างกุ้ง และจังหวัดอื่นๆ ในเมียนมา
Al Jazeera ได้รายงานเพิ่มเติมว่า การประท้วงยังคงดำเนินต่อไปในหลายรัฐของเมียนมา ไม่ว่าจะเป็นรัฐคะฉิ่น ซึ่งมีรายงานจากหน่วยกู้ภัยว่าพวกเขามีความเสี่ยงที่จะถูกเจ้าหน้าที่ยิงอยู่ตลอดเวลา หรืออย่างกรณีรัฐมัณฑะเลย์ ที่มีการชุมนุมต่อต้านการรัฐประหาร ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศที่เมืองโมนยวา รวมถึงการชุมนุมในย่างกุ้งและสถานที่อื่นๆ ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ยังมีรายงานการจับกุมประชาชนที่ออกมาเดินขบวนประท้วงอย่างน้อย 1,300 ราย ในขณะที่ Al Jazeera รายงานตัวเลขผู้บาดเจ็บ อย่างไม่เป็นทางการ ว่าอาจมีตัวเลขอย่างน้อย 200 ราย ด้วยสถานการณ์ที่ยังคงมีท่าทีจะร้ายแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยในวันพรุ่งนี้ (5 มีนาคม) 5 สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ได้แก่ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน จะเปิดการประชุมหารือต่อสถานการณ์ในเมียนมา เพื่อหาทางออก อย่างไรก็ดี AP รายงานว่า มีความกังวลว่า รัสเซีย และจีน อาจออกเสียงคัดค้าน หากคณะมนตรีความมั่นคงจะเสนอทางออกในการคว่ำบาตรเมียนมา
ในขณะที่ชาติสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ซึ่งรวมถึงเมียนมาด้วยนั้น ยังคงไม่มีท่าทีที่ชัดเจน ต่อการต่อต้านการทำรัฐประหาร และการปราบปรามประชาชนในเมียนมา AP รายงานว่า ท่าทีของชาติสมาชิกอาเซียนในลักษณะนี้ เกิดขึ้นจากระเบียบแบบแผนเดิมของอาเซียน ที่ตั้งอยู่บนฐานการไม่แทรกแซงกิจการภายในรัฐสมาชิกอื่นของอาเซียนด้วยกัน
อ้างอิงจาก
https://news.un.org/en/story/2021/03/1086332
https://edition.cnn.com/2021/03/03/asia/myanmar-protest-deaths-intl/index.html
#Brief #TheMATTER