เมื่อคืนวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เข้ามาตอบคำถามเกี่ยวกับประเด็นวัคซีนในห้องคลับเฮาส์ ‘วัคซีนไทยควรไปต่อหรือพอแค่นี้’ ก่อนที่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่จะเข้ามาร่วมพูดคุย และเกิดการโต้เถียงกันเล็กน้อย จากนั้นอนุทินได้ออกจากห้องสนทนาไป
เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อ มีผู้ฟังท่านหนึ่งถามกับอนุทินว่า เพราะอะไรรัฐบาลไทยจึงเลือกให้บริษัทบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ (Siam Bioscience) รับถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีน COVID-19 ของบริษัทแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ซึ่งอนุทินชี้แจงว่า รัฐบาลไทยไม่ได้เป็นผู้เลือกบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ แต่บริษัทของแอสตราเซเนกา ที่สหราชอาณาจักรผู้เลือกเอง
ภายหลังธนาธรได้เข้ามาโต้ตอบเกี่ยวกับประเด็นการจัดซื้อวัคซีน โดยกล่าวว่า “คุณอนุทิน โกหกประชาชนแบบนี้ไม่ได้” พร้อมชี้แจงว่า ก่อนหน้านี้ รัฐบาลระบุเหตุผลที่เลือกวัคซีน COVID-19 ของบริษัทแอสตราเซเนกา เป็นเพราะบริษัทสามารถ ‘ส่งมอบวัคซีนได้ตรงต่อเวลา’ ซึ่งตามเอกสารจากหน่วยราชการนำมาชี้แจงต่อกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรเขียนไว้ว่า จะส่งมอบครบถ้วนในปี พ.ศ.2566 ดังนั้นเวลาที่เหมาะสมและตรงเวลาของรัฐบาลคืออีก 2-3 ปีข้างหน้าอย่างนั้นหรือ?
ทางฝั่งอนุทินได้โต้ตอบคำถามดังกล่าวว่า “คุณธนาธรบอกว่าผมโกหกประชาชน รองนายกโกหกประชาชนได้หรือ?” จากนั้นได้ตอบคำถามเรื่องเวลาที่เหมาะสมว่า เอกสารที่ธนาธรนำมาอ้างอิงนั้นเป็นแผนแรก แต่ขณะนี้รัฐบาลและประเทศไทยเข้าถึงวัคซีนแล้ว ดังนั้นจึงจะมีการปรับเปลี่ยนแผนกันต่อไป และขอยืนยันว่าวัคซีนจำนวน 60 ล้านโดสจะสามารถฉีดให้ประชาชนได้ภายใต้สิ้นปีนี้
อนุทินชี้แจงเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กรมควบคุมโรคได้ศึกษาแล้วว่านับตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป จะฉีดให้ประชาชนเดือนละ 10 ล้านโดส ไปจนกว่าจะครบ 60 ล้านโดส แล้วหลังจากนั้น หากมีความต้องการวัคซีนเพิ่มก็จะมีการปรับเปลี่ยนแผน ซึ่งอาจจะเปลี่ยนบริษัทวัคซีน หากเห็นว่าได้ประโยชน์มากกว่า
หลังอนุทินตอบคำถามดังกล่าว ธนาธรเตรียมจะถามคำถามเพิ่ม แต่อนุทินได้ออกจากห้องสนทนาคลับเฮาส์ไป ซึ่งในคืนเดียวกันนั้น อนุทินออกมาโพสต์ถึงประเด็นนี้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุ ถึงบรรยากาศในห้องคลับเฮาส์เป็นไปด้วยดี มีการแลกเปลี่ยนคำถามเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน ที่แม้จะไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวก็มีความให้เกียรติกัน
จากนั้นได้พูดถึงกรณีที่ธนาธรเข้าร่วมถามคำถาม โดยอนุทินระบุว่า แผนการฉีดวัคซีนที่ธนาธรพูดถึงนั้น เป็นแผนแรก ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนต่อไป จากนั้นอนุทินก็ได้ชี้แจงด้วยคำตอบเดียวกันกับที่อธิบายในห้องคลับเฮาส์
สำหรับสาเหตุที่ออกจากห้องสนทนาคลับเฮาส์ไปอย่างกระทันหัน อนุทินอธิบายว่า “ผมไม่อยากโต้เถียงกับใคร ให้บรรยากาศในห้องสนทนาที่ผู้จัดการสนทนาเปิดเวทีขึ้นมาเพื่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวัคซีน ต้องเสียไป ผมจึงเลือกที่จะออกจากห้องสนทนา เพื่อไม่ให้หัวข้อสนทนาต้องเปลี่ยนเป็นวัคซีนการเมือง” พร้อมทิ้งท้ายว่า ผมไม่ได้โกหกประชาชน และไม่เคยใช้วัคซีนเป็นประเด็นการเมือง
อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. ที่ผ่านมา ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจก็ได้ออกมาชี้แจงประเด็นดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเช่นกัน โดยระบุว่า หลังจากฟังอนุทินตอบคำถามเกี่ยวกับการเลือกบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เป็นบริษัทรับถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตวัคซีน “ผมยังยืนยันว่าคุณอนุทินไม่ได้พูดความจริงกับประชาชน” พร้อมชี้แจงเป็นประเด็นๆ ดังนี้
สำหรับเรื่องแผนการส่งมองวัคซีน ธนาธรระบุว่า “รัฐบาลเพิ่งประกาศแผนใหม่เมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2564 (หรือเมื่อ 67 วันที่แล้วเอง) ให้ฉีดได้เพียง 50% ของประชากรภายในสิ้นปี พ.ศ.2564 แต่แผนเดิมของรัฐบาลที่บอกว่าแอสตราเซเนกา จะส่งมอบวัคซีนปี พ.ศ.2564 ได้แค่ 16 ล้านโดส และปี พ.ศ.2565 อีก 10 ล้านโดส แล้วจะบอกว่าตรงกับความต้องการเวลาส่งมอบ ซึ่งเพิ่งมาเปลี่ยนเป็นส่งมอบทั้ง 26 ล้านโดสภายในปีนี้ได้อย่างไร?”
ในส่วนของกรณีที่อนุทินชี้แจงว่ารัฐบาลไทยไม่ได้เป็นคนเลือกสยามไบโอไซเอนซ์ แต่แอสตราเซเนกาผู้ผลิตวัคซีนเป็นผู้คัดเลือก เนื่องจากเห็นว่าโรงงานที่มีความพร้อมนั้น ธนาธรระบุว่า ”หากดูจากร่องรอยเอกสารราชการทั้งหมดที่มี บ่งชี้ไปว่ารัฐบาลไทยเริ่มกระบวนการให้การสนับสนุนงบประมาณแผ่นดินไปช่วยเตรียมความพร้อมให้แก่บริษัทเอกชนแห่งนี้อย่างน้อย 6 ร้อยล้านบาท ตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ.2563 ก่อนที่จะมีการลงนาม 4 ฝ่ายใน Letter of Intent เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.2563 เพื่อจัดหาวัคซีนแอสตราเซเนกาให้แก่รัฐบาล”
ทั้งนี้ธนาธรโพสต์ทิ้งท้ายไว้ว่า “ผมยังยืนยันคำเดิม คุณอนุทินโกหกประชาชนแบบนี้ไม่ได้นะครับ”
อ้างอิงจาก
https://www.youtube.com/watch?v=dTfhdN1AnW8
https://web.facebook.com/…/a.20959089…/4202668806434635/
https://www.matichon.co.th/covid19/news_2621356