“มันเป็นหน้าที่หมอชนะ หรือ ศบค. ต้องสร้างความมั่นใจให้ผู้โหลดแอพพลิเคชั่น ถ้าการเข้าถึงรูปถ่าย ไม่จำเป็นตัดออกไปเลยไหม คนจะได้หันมาใช้มากขึ้น เพราะในตอนนี้หลายคนไม่สบายใจกับการเข้าถึงข้อมูลมากขนาดนี้” – อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต
หลังจากที่ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. ได้แถลงว่าจะมีบทลงโทษสำหรับผู้ที่ติดโรค Covid-19 แต่ไม่มีแอพพลิเคชั่น ‘หมอชนะ’ ในมือถือ The MATTER ได้ติดต่อไปหา อาทิตย์ สุริยะวงศ์สกลุ ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต เพื่อขอความเห็นในมาตรการดังกล่าว รวมถึงในแง่ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลว่าแอพฯ ดังกล่าวขอเข้าถึงข้อมูลมากเกินไปหรือไม่ และควรแก้ไขอย่างไรไหม
อาทิตย์เริ่มต้นพูดกับเราว่า “ผมคิดว่าน่าจะเป็นการแถลงเกินกว่าที่ประกาศอยู่ใน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 17 ” เขากล่าวต่อว่า ใน พ.ร.ก. ดังกล่าว ระบุถึงแอพพลิเคชั่นหมอชนะไว้สองข้อคือ หนึ่ง สนับสนุนให้ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปโหลดมาติดบนมือถือ สอง ในพื้นที่เสี่ยง 5 จังหวัด ประชาชนจำเป็นต้องลงแอพ ซึ่งถ้าฝ่าฝืนก็จะมีบทลงโทษตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
แต่เขาตั้งคำถามถึงการ ‘บังคับ’ จากภาครัฐให้ประชาชนทุกคนใช้แอพพลิเคชั่นดังกล่าว เพราะเขามองว่า จุดประสงค์ของแอพพลิเคชั่นคือการเพิ่มความแม่นยำและลดความผิดพลาดในการสอบสวนโรค เพื่อทำให้สาธารณสุขทำงานได้ง่ายขึ้น และลดความสับสนของภาคประชาชนเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีแอพพลิเคชั่นก็ยังดำเนินไปได้ ไม่ถึงขั้นเป็นศูนย์
“ส่วนตัวผมมองว่าในแง่การทำงาน (Operation) ของหมอชนะถือว่าโอเคร ตรงนี้เราต้องให้เครดิตเขา” อย่างไรก็ตาม ในแง่หนึ่งเป้าหมายของ ‘หมอชนะ’ เป็นสิ่งที่ ‘ไทยชนะ’ แอพพลิเคชั่น Contact Tracing อีกตัวหนึ่งเคยพยายามทำมาก่อนหน้านี้ แต่กลับไม่ได้ผลเท่าที่ควร รวมถึงยังมีข่าวเรื่องการปล่อยให้ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลไปให้แก่เว็บไซต์พนัน ดังนั้น ประชาชนย่อมตั้งคำถามต่อการทำงานและปล่อยข้อมูลให้แอพพลิเคชั่นเหล่านี้อยู่แล้ว
อาทิตย์กล่าวต่อว่า ในประเทศอื่นไม่มีการบังคับให้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Contact Tracing แบบนี้ แต่จะใช้วิธีสมัครใจมากกว่า ซึ่งการบังคับแถมด้วยบทลงโทษทางอาญา ยิ่งกลายเป็นดาบสองคมเพราะอาจทำให้คนกลัวและหันมาใช้มากขึ้น หรือกลัวแล้วไม่กล้าไปตรวจเลยก็ได้ เพราะกลัวจะถูกลงโทษที่ตัวเองไม่เคยดาวน์โหลดแอพดังกล่าวมาใช้ ดังนั้น อาทิตย์มองว่าในประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ภาครัฐต้องชั่งตวงว่าจะเลือกไปในทิศทางไหน
ในเรื่องของความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล ที่ผู้ใช้แอพพลิเคชั่นหมอชนะทุกคนต้องยอมให้เข้าถึงข้อมูลไม่ว่า กล้องถ่ายรูป, ตำแหน่ง, พื้นที่เก็บข้อมูล ตลอดจนคลังรูปภาพ/คลิป/ไฟล์อื่นๆ อาทิตย์มองว่า จริงๆ แล้วแอพพลิเคชั่น Contact Tracing ไม่จำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลมากขนาดนั้น แต่เมื่อมีการบังคับให้โหลดแล้ว เขากล่าวว่า “ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ของหมอชนะ หรือ ศบค. ต้องมาคลายความสงสัย และสร้างความมั่นใจให้ผู้ที่โหลดมาใช้ หรือถ้าฟังค์ชันถ่ายรูปมันไม่จำเป็นกับการสืบสวนโรค ตัดออกไปเลยดีไหม คนจะได้หันมาใช้มากขึ้น ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นหมอชนะต้องไปตัดสินใจว่าการลงทะเบียนและต้องใช้หน้าคนบนโปรไฟล์มันจำเป็นแค่ไหน แต่ในตอนนี้เราเห็นแล้วว่าหลายคนไม่สบายใจกับการเข้าถึงข้อมูลมากขนาดนี้”
เขากล่าวต่อว่า “ผมเชื่อว่าคนส่วนหนึ่งยินดีที่จะลงแอพพลิเคชั่นและเสียสละข้อมูลส่วนตัวจำนวนหนึ่งเพื่อต่อสู้กับโรคนี้ แต่การขอข้อมูลส่วนตัวเขา เขาก็ชั่งน้ำหนักถึงความสมเหตุสมผลเช่นกัน” ก่อนกล่าวเสริมว่า “ในเมื่อตอนนี้มันเป็นการบังคับแล้ว ถ้าไม่ใช่ หมอชนะ ก็ต้องเป็น ศบค. ออกมาอธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจ ทั้งในเรื่องว่าแอพพลิเคชั่นทำงานอย่างไร มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน และจะรักษาข้อมูลส่วนบุคคลเราอย่างไร ถ้าจะบังคับก็ต้องอธิบายให้ได้ แต่ถ้าไม่ได้ ผมคิดว่าก็ไม่ควรบังคับ”
ในช่วงท้าย อาทิตย์ตั้งคำถามถึงการสร้างบรรยากาศแบ่ง เขา-เรา ทั้งจากคำถามสุดท้ายของแอพฯ หมอชนะที่ถามว่า ‘ในชีวิตประจำวันติดต่อกับชาวต่างชาติบ่อยหรือไม่?’ อาทิตย์กล่าวว่า “อย่างชาวต่างชาติเขาเข้ามาแล้วก็ต้องกักตัว 14 วันอยู่แล้ว มันจะเสี่ยงน้อยหรือมากกว่าคนไทยได้อย่างไร”
ก่อนกล่าวทิ้งท้ายว่า “รวมถึงจากแถลงของ ศบค. เองที่มีการแบ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อเป็นแรงงานข้ามชาติกับประชาชนชาวไทย ซึ่งอาทิตย์ให้ความเห็นว่า “ผมไม่เห็นประโยชน์ของการแบ่งแยกแบบนี้ และไม่เห็นว่าประเทศอื่นจะทำแบบนี้เหมือนก้น ราวกับว่าเชื้อโรคมันเลือกสัญชาติหรือเชื้อชาติในการติดอย่างนั้น”
#Quote #TheMATTER #Coronavirus #Privacy